ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

ฮาเร กฤษณะ - ลัทธิที่โดนใจ

คริชณะจิตสำนึก (ฮาเร กฤษณะ) คืออะไร



หลักพื้นฐานของการมีชีวิตของมนุษย์ทั่วไป คือ เราจะต้องมีใจรักใครสักคน และคงไม่มีใครมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่รักใครเลย

แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะให้ความรักแก่ใคร และเมื่อให้ไปแล้ว ทุกคนจะได้รับความสุข

ปรัชญาพื้นฐานนี้ถูกนำมาใช้แก่ผู้ปฏิบัติ คริชณะจิตสำนึก( Krishna Consciousness ) ซึ่งในประเทศไทย ผู้ปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกอาจเป็นคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งหมดของประเทศ และคนไทยรู้จักกันในนามของ กลุ่มฮาเร กฤษณะ (หรือ ฮะเร กฤษณะ ,ฮเร กฤษณะ ) ตามการอ่านในแบบภาษาไทย


กฤษณะจิตสำนึก ( ในบล็อกนี้ ใช้คำว่า คริชณะจิตสำนึก ตามแบบภาษาเดิม) ผู้ปฏิบัติมุ่งเน้นกิจกรรมทุกอย่างเพื่อถวายแด่องค์คริชณะ

หนึ่งในกิจกรรมพื้นฐานนั้น คือ ความรัก ที่เรามอบให้แด่องค์คริชณะ โดยการปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำนึก และเมื่อปฏิบัติแล้ว จะกระตุ้นความรักที่เรามอบให้แด่องค์คริชณะ ซึ่งส่งผลให้เรามีชีวิตที่มีความสุข และรู้สึกสำนึกตนเองเสมอ ขณะเดียวกัน เราก็สำนึกและรับรู้ถึงองค์คริชณะไปพร้อมๆกัน

เปรียบได้กับ เมื่อเรามองเห็นตัวเราในตอนเช้า เราก็เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า เช่นเดียวกัน แต่หากเราไม่เห็นแสงจากดวงอาทิตย์ เราก็ไม่สามารถมองเห็นตัวเราเองได้ นอกจากเราจะมีจิตสำนึก ซึ่งในสำนึกนั้น เราระลึกถึงคริชณะ และอุทิศตนรับใช้ด้วยความเต็มใจ ด้วยความมุ่งหมายที่บริสุทธิ์ใจ


การปฏิบัติกิจกรรมของผู้นับถือและอยู่ในกลุ่มคริชณะจิตสำนึก จะนำความรักโดยธรรมชาติที่เรามีต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ปรากฏออกมา โดยแบ่งเป็นการปฏิบัติตนรับใช้ตามที่หลักธรรมคำสอนกำหนดไว้


เมื่อเราปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ศีลธรรม และคำสั่งของอาจารย์แล้ว เราก็จะยึดมั่นในองค์คริชณะมากขึ้น และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรักที่เป็นไปตามธรรมชาติ


ผู้ที่ปฎิบัติคริชณะจิตสำนึก ( devotee ) = [N] ผู้อุทิศตัว; ผู้ภักดีต่อกลุ่มศาสนา, สาวก, ผู้ศรัทธา, ผู้เลื่อมใส เราจะเรียกตามความหมายที่กล่าวมาทั้งหมดก็ได้


แต่ในกลุ่มผู้ปฎิบัติคริชณะจิตสำนึกในประเทศไทย เราเรียกรวมๆกันว่า สาวก

ซึ่งก็คือ ผู้อุทิศตัวรับใช้ และตั้งใจปฎิบัติต่อองค์คริชณะ นั่นเอง

หลักศาสนา 4 ประการ





Source : iskconbkk.blogspot.com [ เรียบเรียงจากส่วนของเนื้อหา ] & siamganesh.com



จุดมุ่งหมายของ ฮะเร กฤษณะ




พระกฤษณะ เป็นอวตารหนึ่งของ พระวิษณุ
ในมหากาพย์เรื่อง "มหาภารตะ" ซึ่งเป็นหนังสือที่ยาวที่สุดในโลก
บรรจุไว้ซึ่งเรื่องราวต่างๆมากมาย
และมีคัมภีร์เล่มหนึ่งบรรจุไว้ด้วย นั่นคือ "คัมภีร์ภควัทคีตา"  



ภาพบูชาพระกฤษณะ การสังเกตุว่าเป็นพระกฤษณะมีวิธีง่ายๆคือ พระองค์จะทรงขลุ่ย ขนยกยูงทัดที่ผม มีโคเป็นบริวาร


การกราบไหว้บูชาพระกฤษณะ จึงไม่สามารถกราบไหว้อย่างเดียวหรือถวายของเฉยๆได้
แต่จะต้องมีการศึกษาหนังสือ 2 เล่มควบคู่ไปด้วย นั่นคือ 

1.มหากาพย์มหาภารตะ 
2.คัมภีร์ภควัทคีตา
มิฉะนั้นการบูชาพระกฤษณะจะไม่บังเกิดผล (ที่มีการกำหนดเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้มนุษย์ศึกษาคำสอนในคัมภีร์)

ผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นผู้ติดตามพระกฤษณะ หรือ ผู้นับถือศรัทธาในพระกฤษณะ เรียกว่า ผู้ภักดี โดยในภควัทคีตาจะสอนเรื่อง ภักดีโยคะและการเข้าถึงบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระกฤษณะมหาเทพนี้ก็เป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระผู้เป็นเจ้าทุกพระองค์

 
มนต์บูชาพระกฤษณะมหาเทพ เรียกกันในนิกายว่า "มหามนต์"
ในปุราณะต่างๆ กล่าวไว้ว่า การบูชาพระกฤษณะ อาจทำได้โดยไม่ต้องบูชาพระพิฆเนศก่อน
(เป็นมหาเทพเพียงองค์เดียวที่ไม่ต้องกล่าวบูชาผ่านพระพิฆเนศได้อย่างสนิทใจ) 


Source : http://www.siamganesh.com 


ความเห็นส่วนตัว [Natt C. ] : แม้ยังไม่สามารถศึกษาหนังสือทั้ง 2 เล่มได้อย่างครบถ้วน ผู้สนใจ สามารถบูชาได้ด้วยใจก็ได้ แล้วจะค่อยๆศึกษาหนังสือ เพราะเนื้อหาทั้ง 2 เล่มเยอะมาก อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว
เรื่องที่ให้ศึกษาทั้ง 2 เล่ม น่าจะเป็น กุศโลบาย เพื่อให้ผู้ศรัทธา ได้ศึกษาควบคู่ไปกับการศรัทธา เพื่อไม่ให้ศรัทธาอย่างงมงาย 

ผู้สนใจมหากาพย์มหาภารตะยุทธ และ ภควัทคีตา สามารถหา Load ได้ตามแหล่งต่างๆ หรือส่งเมล์มาขอได้ครับที่ nattprom@gmail.com  

คัมภีร์และหลักคำสอนที่มีความสำคัญของกลุ่มฮะเรคริชณะ

ศรี อุปนิษัท
เป็นหนึ่งในคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นอีกเล่มหนึ่งที่มีความสำคัญ

คัมภีร์พระเวท เป็นหลักคำสอนที่บอกให้เราใช้ชีวิตและทำตัวอย่างไร บนโลกวัตถุ (โลกในยุคปัจจุบัน)
เช่น เรื่องการทำธุรกิจ การแต่งงาน การครองเรือน ซึ่งข้อมูลส่วนมากของคัมภีร์จะเน้นเรื่องของการใช้ชีวิตบนโลก

ความเห็นส่วนตัว [Natt C. ] : มีเวลาเพิ่ม จะนำเสนอเรื่องนี้ต่อครับ

อุปนิษัท เป็นที่รู้จักกันมากในแวดวงวิชาการ ซึ่งที่จริงแล้ว อุปนิษัทในโลกนี้ มีมากกว่า 100 เล่ม
แต่เล่มที่สำคัญๆ จะมีอยู่ประมาณ 10 เล่ม

อุปนิษัท เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทิพย์ สำหรับความหมายของคำนี้ ก่อนอื่นให้เราทำความเข้าใจโลกใบนี้เสียก่อน และมองโลกอย่างที่เป็นอยู่ และหากเราเริ่มตั้งคำถามว่า มีอะไรเหนือไปกว่าความสุขบนโลกใบนี้ คำตอบนั้นคือ ชีวิตทิพย์

สมาคมนานาชาติเพื่่อคริชณะจิตสำนึก มีหนังสือสำคัญ 2 เล่ม เป็นหลักในการสอนให้กับสมาชิกของสมาคมที่มีอยู่ทั่วโลก คือ 

ภควัทคีตา 


ภควัทคีตา เป็นศาสตร์ในการดำรงชีวิตที่ตรัสโดยคริชณะ (หรือพระกฤษณะ) ตั้งแต่ครั้งอดีต
บทเรียนแรกที่พระองค์ทรงสอนแก่เราคือ ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา และไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นของเรา 

ตัวเราที่แท้จริงคือดวงวิญญาณที่เป็นอมตะ เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติสุข และความรู้ ส่วนโลกวัตถุรวมทั้งร่างกายที่กักขังดวงชีวิตของเรา ไม่จีรัง ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์และอวิชชา

ในโลกวัตถุนี้ไม่มีอะไรถาวร ความสุขและความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน 

คริชณะตรัสว่า เหมือนกับฤดูร้อนและฤดูหนาวซึ่งผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป ทรงแนะนำให้เราอดทนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

คริชณะทรงสอนให้เราฝึกจิตเหมือนกับใบบัว บางครั้งน้ำไม่สะอาดกลิ้งขึ้นมาบนใบบัว แต่เมื่อกลิ้งขึ้นมาแล้วก็จะกลิ้งออกไป โดยไม่ซึมเข้าไปในใบบัวฉันใด หากเราฝึกจิตให้เหมือนกับใบบัว โดยสิ่งไม่สะอาดไม่สามารถซึมเข้าไปภายในใจ การปฏิบัติตามหน้าที่ของเราก็จะแน่วแน่มั่นคง นิรันดร เพราะเราปฏิบัติไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยใจรัก และระลึกถึงองค์คริชณะเสมอ

ชรีมัด บากะวะทัม

ความเห็นส่วนตัว [Natt C. ] : เรื่อง ชรีมัด บากะวะทัม Srimad Bhagavatam อันนี้ ต้องใช้เวลาแปล ศึกษา คงอีกนานแน่ๆ

คัมภีร์พระเวท ที่มีอยู่ในจำนวนหลายเล่มนั้น ได้เน้นไปที่การช่วยให้เรามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ซึ่งเท่ากับว่า เราจะมีความสุขในโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุใบนี้

แต่โดยภาพรวมแล้ว อุปนิษัททุกเล่มเป็นหนังสือแห่งปวงปรัชญา ซึ่งอาจยากต่อการทำความเข้าใจ
ในปัจจุบัน คนจำนวนมากจะอ่าน ภควัทคีตา และ ชรีมัด บากะวะทัม 

สาเหตุหลักเพราะ อาจารย์ที่ยึดหลักคำสอนตามพระคัมภีร์ในเวลาปัจจุบัน รู้สึกว่า ตนเองตกต่ำลง และจะหาคนที่มาเป็นครูผู้สอนเรื่องเหล่านี้ได้ยากมาก เพราะผู้ที่จะสอนได้ ต้องเป็นผู้ที่สมบูรณ์จริงๆ
ซึ่งต้องมีจิตใจมั่นคง ควบคุมตนเองได้ และในปัจจุบัน เราหาพราหมณ์ที่มีความพร้อมในทุกด้าน เช่นในสมัยโบราณไม่ได้และไม่มีคนที่เป็นตัวอย่าง ที่สามารถทำได้ถูกต้องตามคัมภีร์ คนในปัจจุบันจึงลดความเคารพในคัมภีร์ลง

อุปนิษัท อาจไม่ใช่คัมภีร์ของไวชะณะวะโดยตรง แต่ในคัมภีร์บอกไว้ว่า ผู้ที่สมบูรณ์สูงสุด มีทุกอย่าง นอกเหนือไปจากประสบการณ์ของเรา ซึ่งก็คือ พระผู้เป็นเจ้าต้องมีบุคลิกภาพ และมีความสมบูรณ์สูงสุด

คำสอนของศาสนาหลักๆในโลกนี้ ส่วนมากจะไม่เน้นความเชื่อในรูปลักษณ์ ซึ่งอาจยกตัวอย่างได้จากในประเทศอินเดีย จะมีกลุ่มผู้ที่นับถือในแนวทางไร้รูปลักษณ์ของพระเจ้า เช่นนี้ เป็นจำนวนมาก
และทางโลกตะวันตก ก็มีอยู่จำนวนมากเช่นกัน ซึ่งสาเหตุหลัก มาจากการที่โลกเปลี่ยนไป ผู้คนหันไปสนใจวัตถุนิยมกันมากขึ้น เรามุ่งเน้นไปที่การกินดี อยู่ดี มีเสื้อผ้าสิ่งของ เครื่องใช้ บ้าน รถยนต์ และเลือกมีความสุขในช่วงเวลาของชีวิต ผู้คนจึงจิตใจตกต่ำลง และหันหลังให้กับพระเจ้า

มีผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์จำนวนมากกล่าวไว้ว่า พระเจ้าไม่มีรูปลักษณ์
ซึ่งในความเป็นจริง เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้
แต่ในความเป็นจริง ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งคือ ผู้ที่ไม่เชื่อและเคารพในรูปลักษณ์ของพระเจ้า ในท้ายที่สุด จะเริ่มเบื่อหน่ายพระเจ้าที่ไม่มีรูปลักษณ์ และกลับไปหาโลกวัตถุอย่างถาวร

ผู้เบาปัญญา จะต่อว่าพระเจ้าว่า ทำให้เขาได้รับความทุกข์ และไม่จัดสรรอะไรให้พวกเรา
แต่ในความเป็นจริง เรามีทุกข์ เพราะเรานำสิ่งที่พระเจ้าจัดสรรให้ มาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

ผู้ที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์มักจะกล่าวว่า พระเจ้าคือทุกอย่าง และทุกที่ จนกระทั่งในที่สุด ก็มีคนกล่าวว่า เราคือพระเจ้า และตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง

อุปนิษัทกล่าวว่า พระเจ้าคือทุกอย่าง ทุกแห่งหน พระองค์มีบุคลิกภาพ และพระองค์มีความสมบูรณ์สูงสุด ทรงอยู่เหนือโลกวัตถุ ไม่ได้อยู่ใต้กฏเกณฑ์ของธรรมชาติวัตถุ
ไม่ว่าจะอย่างไร พระเจ้าก็จะไม่สูญเสียความเป็นพระองค์เอง
เช่นเดียวกับการที่เราเอาส่วนที่สมบูรณ์ออก ส่วนที่เหลือก็ยังคงสมบูรณ์

Source : iskconbkk.blogspot.com [ เรียบเรียงจากส่วนของเนื้อหา ]