ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทริปต้องโทษดาว กับเพื่อนร่วมทางหำหด+ทุ่งกะมัง

กำหนดการที่เริ่มชัดเจน น่าจะราวๆ เดือนตุลาคม 2555 น่าจะได้
ส่วนกำหนดการคร่าวๆนั้น พวกเราต่างก็คิดๆ เล็งๆไว้แทบจะเกือบปี
ปีนี้ พวกเราคง Concept หลักๆ ไม่มีเขาสูงชัน ไม่ใกล้พม่า
เพื่ออะไร เพื่อใคร พวกเราต่างทราบกันดี - ก็เพื่อเพื่อนที่อยากให้ร่วมทางนั่นเอง



วันที่ 8 ธันวาคม 2555
พวกเรานัดเจอกันระหว่างทางเส้นวงแหวนตะวันออก เวลา 05:00 น.
ทีมจาก กทม. 3 คัน มีผม มีล้อโต และพี่ทนายและชาวคณะ
ก็เป็นพี่ทนาย ( ผู้ที่เกริ่นๆว่าจะนัดกัน ตี 4 !! ) มาเกือบๆ 06:00 น.
ให้เพื่อนๆ รอ อย่างตื่นเต้น

เมื่อพบเจอกัน ก็เริ่มเดินทาง ไปเจอ เพื่อนพงษ์และขาวคณะ ที่แยกบึงสามพัน
จัดแจงเติมน้ำมันกันให้เต็มถัง เพราะทางข้างหน้า แม้จะเป็นถนนเส้น 255
แต่เราเชื่อกันว่า คงจะหาปั๊มน้ำมัน ( ที่รับบัตรเครดิต ) ยากหน่อย
ราว 10:00 น. พวกเรา 4 คัน 9 คน เดินทางเข้าเส้น 255 เพื่อไปอุทยานแห่งชาติไทรทอง
ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชม. บนเส้นทางเขาไม่สูงชันมาก ประกอบกับ จอดๆ ชลอๆ หาเสบียง น้ำแข็ง
พวกเราไปถึง อช. ไทรทองไม่เกินเที่ยง  กินอาหารร้านสวัสดิการ ข้างๆที่ทำการเลย
แพลนที่คิดกันไว้ คือ นอนข้างบน ใกล้ๆผาหำหด
แต่ จนท. อุทยานมาบอก ตอนที่กะลังกินข้าวว่า ช่วงนี้ ห้ามขึ้นไปพักข้างบน
จะให้แค่ช่วงเทศกาลดอกกระเจียว กับปีใหม่



ทำให้พวกเรา ต้องจำใจ นอนที่ด้านล่าง
มองในแง่ดี ก็รอพี่ห้าวด้วยซะเลย แล้วค่อยขึ้นข้างบนไปพร้อมๆกัน แล้วค่อยกลับลงมา
ด้วยความที่มาถึงกันไว พวกเราเลยมองๆมุมที่จะกางเต๊นท์ได้เต็มที่
ริมบึงน้ำ และใกล้ห้องน้ำ ก็ถึอว่ามุมดี
เพียงแต่ว่า คุณแม่บ้านที่ดูหนังมากไป เกริ่นไปว่า เดี๋ยวจะมี จรเข้โผล่มาจากน้ำ !!!

พี่ทนายและชาวคณะ ยืมเต๊นท์มา แต่มีปัญหานิดหน่อย ตรงที่พลาสติกพื้นเต๊นท์ กรอบ ร่อน จนเป็นฝุ่น ทำให้ต้องทำความสะอาดนิดหน่อย
ส่วนของผม เต๊นท์ใหม่ ขนาดใหญ่กว่าเดิม กลับเจอคุณภาพเต๊นท์ที่แย่ ฮุคยึดเสาเต๊นท์ขาดง่ายดายเหลือเกิน โชคดีที่เตรียมมาทั้ง 2 หลัง คืนต่อไปคงใช้เต๊นท์เก่า



ราว 15:30 น. พี่ห้าวก็เดินทางมาถึง เป็นอันพร้อมหน้า สำหรับผู้ที่ตอบตกลงชัดเจน ว่าจะร่วมทาง
พอครบองค์ประชุม พวกเราก็รวมตัว เดินทางขึ้นไปที่ผาหำหด ที่อยู่ห่างออกไปในถนนของอุทยานฯ ราว 9 กม. ที่ต้องผ่านทางน้ำนิดหน่อย


พวกเราขึ้นไป ก็ถ่ายรูป นั่งชื่นชมสภาพบรรยากาศโดยรอบ
แล้วก็ไม่ลืมที่จะต้องถ่ายรูปกับ Logo ของที่นั่น "ผาหำหด"







พอเริ่มเย็นลงพวกเราก็ลงมาจาก ผาหำหด
แล้วก็เริ่มลงมือทำอาหารกินกัน โดยพี่ห้าว พ่อครัวใจสั่งมาจาก มหาสารคาม




พวกเราก็เริ่มวงสนทนาธรรมกันอย่างเป็นทางการ
จนเวลาค่ำมืด ก็ต่างแยกย้ายเข้าเต๊นท์กันตามสภาพ



เช้ามายังไม่ทัน 05:00 น. รอบนี้ กลับไม่ใช่ผมที่ตื่นคนแรก
ไอ้ตี้ หมาของพี่ห้าว ก็ส่งเสียง หงิงๆ ปลุกผมซะก่อน
หลายๆคนเริ่มตื่นขึ้นมา นั่งมองน้ำ มองฟ้า
ผมก็ตื่นมา ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยไป
ส่วนคุณแม่บ้าน กะพ่อบ้าน ก็ทำอาหาร นั่งคุยกันไปตามเรื่องตามราว


พอตกสายหน่อย พี่ห้าว ก็ชวนเอาเบียร์ใส่กระติก ไปนั่งจิบกันริมลำธารใกล้ๆ
นั่งคุยกันตามประสาเพื่อนๆ เรื่องอนาคต เรื่องแผนธุรกิจ








เสร็จแล้วพวกเราก็ไปที่น้ำตกไทรทอง ที่อยู่กันไม่ไกลจากจุดที่เรากางเต๊นท์กัน
จนราว 11:00 น. ก็เริ่มเก็บข้าวของ เตรียมเดินทางต่อไปที่ ทุ่งกะมัง


แรกเริ่ม ผมคิดว่า จะใช้เวลาเดินทาง ราว 2 ชม.
แต่ถึงเวลาจริงๆ แวะกินข้าว ซื้อเสบียง แวะนู่นนี่
สุดท้ายก็ไปถึงปากทาง ทุ่งกะมัง ราวๆ 17:00 น.
ถนนเป็นถนนราดยางที่ไม่กว้างมาก พอชลอตัวสวนกันได้
แต่ก็มีป้ายบอกตลอดทาง ว่าให้ระวังสัตว์ป่า
ใช้เวลาราว 20 นาที ก็ถึงด้านใน
เจ้าหน้าที่ให้พวกเราเข้ามากางเต๊นท์ตรงทางที่จุดกางเต๊นท์
ซึ่งมีห้องน้ำรองรับผู้ที่เข้ามาได้ ไม่มากนัก มีห้องน้ำ ชาย 2 หญิง 2
ในพื้นที่เขตฯ มีบ้านพักรองรับผู้ที่เข้ามาค่อนข้างเยอะ



ในจุดที่เรากางเต๊นท์กัน หลังจากที่จัดที่นอน จัดที่ทำอาหารเสร็จ
ผมก็ออกเดินสำรวจใกล้ๆ เห็นว่า มีรอยเท้าสัตว์อยู่ใกล้ๆ
แถมยังเจอกวางยืนจ้องหน้าอยู่ในทุ่งหญ้าไม่ไกล
พยายามจะถ่ายรูป แต่ดันเอาไปแต่โทรศัพท์
ไม่สามารถจะ Zoom มาได้จะๆ จังๆ
แต่ก็พอทำให้ตื่นเต้นได้เลยทีเดียว

ในบริเวณที่กางเต๊นท์ก็จะมีกวางที่ค่อนข้างชินผู้คน เดินไปมาอยู่หลายตัว
รวมถึงเดินเข้าออก ไปมา ระหว่างป่ากับถนน
ไอ้ตัวที่ชินกับผู้คน มักจะเดินมาป้วนเปี้ยนแถวที่คนอยู่ เพื่อกินอาหาร
เรียกชัด ตรงๆ ว่า มาขโมยของกินเวลาคนเผลอนั่นแหละ
ใครไปที่นั่น ควรหาถังพลาสติก ที่ปิดล็อคมิดชิดใส่ของไปจะดีกว่า
เพราะถ้าคุณใส่แบบถุงพลาสติกแล้วมัดปากถุงเมื่อไร
พวกสัตว์จะมาลากไปกิน โดนที่ไม่รู้ว่าอะไรที่กินไม่ได้
แล้วมันก็จะป่วย !!



พอเริ่มค่ำลง พวกกวางที่ชินผู้คน ก็มาป้วนเปี้ยน แอบมาฉกของกินที่ปิด หรือเก็บไม่ดีตลอด
ต้องคอยไล่ไปทางอื่น
พอได้เวลา พวกเราก็ต่างเข้านอน เต๊นท์ใคร เต๊นท์มัน

กลางคืน ค่ำคืนนี้ น้ำค้างค่อนข้างแรงใช้ได้เลย
นอนกลางดึก จะได้ยินเสียงหยนดของน้ำค้าง ลงมาที่ใบไม้ หล้งคาเต๊นท์
แถมด้วยเสียงกวางที่มากินดิน กินหญ้า แถวที่เรากางเต๊นท์กัน

กลางดึก ผมและเพื่อนๆ ก็โผล่หน้าออกจากเต๊นท์มาส่องไฟฉายเพื่อดูกวาง
ใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่า มันจะมีสัตว์อื่นมาแจมอีกไหม แต่ก็ไม่น่าจะมี (มั้ง)


 เช้ามาพวกเราตื่น หาอะไรรองท้องกันยามเช้า แล้วขับรถไปไม่ไกล เพื่อไปสู่ทุ่งกะมัง
ในส่วนที่เป็นทุ่งจริงๆ
พื้นที่ตรงจุดนี้ เป็นทุ่งกว้าง สามารถเดินไปได้ทั่วๆ ก็จะเห็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปเรื่อยๆ




บรรยากาศ และสภาพหมอกที่ไม่จัดจนเกินไป มาพร้อมๆกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆขึ้นมา
เป็นภาพที่ทำให้เพื่อนๆ ติดใจ มีความสุขกับการเดินไปๆไหนต่อไหนไกลๆได้
โดยไม่รู้สึกว่าไกล หรือ รู้สึกเหนื่อย


ก็ไม่ใช่เพียงแค่สายหมอกกับแสงอาทิตย์เท่านั้น
เพียงเดินลงมาตามทางของทุ่ง ก็จะเจอฝูงกวางที่เดินบ้าง วิ่งบ้างอย่างไม่แคร์คน
เพราะัที่นี่คือบ้าน คือที่อยู่ ที่หากินอย่างไม่มีมนุษย์รบกวน



เริ่มสายหน่อย พวกเราก็ลงมาที่จุดกางเต๊นท์ เตรียมเก็บข้าวของ



พวกเรานัดกันที่ปากทางทุ่งกะมังว่า จะออกมาเส้นถนนสาย 12 ที่น่าจะวิ่งสะดวก
ส่วนพี่ห้าว ขอแยกทางตรงปากทางทุ่งกะมัง เพราะกลับสายอิสาน

พวกเราแพลนเข้าไปที่หล่มสักแล้วหาที่กินข้าวกลางวันพร้อมกันส่งท้ายทริปนี้
เมื่อถึงหล่มสัก พี่ทนายและชาวคณะแยกตัวกลับก่อน เพราะลูกต้องกลับไปทำการบ้าน
เพื่อนพงษ์และชาวคณะ แยกกันตรงแยกบึงสามพัน
ส่วนล้อโต กับผม แยกกันแถวๆ ใกล้ๆสระบุรี

ทริปนี้ สมหวังกับการเดินทางทุกคน ไม่มีผิดแผน ไม่มีโอ้เอ้
ขอบคุณทุกๆคน ที่ทำให้ป้ายประจำทริปได้ใช้อย่างสมหวัง
ขอบคุณทุกๆคน ที่ทำให้ของชำร่วย ได้แจกด้วยความอิ่มเอม
ขอบคุณทุกๆคน ที่จะร่วมทางกันอีก ในปีต่อๆไป ทุกปี
เราจะร่วมทางกันอีกครั้ง ในอีกไม่นาน .....

ผมยังคงอธิษฐานทุกๆปี ให้มีเพื่อนๆร่วมทางมากขึ้นเรื่อยๆ

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดูดาว วงตาวัน

ดูดาว - วงตาวัน [ อัลบั้ม ม็อบ ] พศ. 2535



เพลงดูดาว น่าจะเป็นเพลงที่ทำให้คนรู้จักพวกเขา ในนาม วงตาวัน ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในยุคสมัยนั้น
และก็เป็นเพลงนี้แหละ ที่กวักมือเรียก ให้คนหลายๆคน มาฟังเพลงนี้ และเพลงอื่นๆ ของพวกเขา
ดนตรีที่มีคุณภาพที่อยู่ระดับต้นๆเลยของยุคสมัยนั้น


เหงาหนีมามองดาว...บนฟ้า ฟ้าไม่มีดาวดับ
กลับกลาย...ใจเห็นเธอลอยเด่น เหมือนดาวส่อง
เหงา เหงา ไม่มีเธอ...คืนนี้...เหมือนวันที่ผ่านพ้น
สับสน เธอเหมือนคนดี เธอเหมือนคนหลอก

ฟ้า ฟ้าบนฟ้าคงมีแต่ดาว ให้เรานั่งมอง
ฟ้า ฟ้าดูหมองมีเมฆกลมๆ ลอยอยู่เป็นร้อย
เหมือน เหมือนคนเหงาที่คอยแต่ดาว เฝ้าแต่นั่งมอง
มองจนลับลอยไปกับตา เหมือนดังกับเธอ

คิด คิดมาจนดึก...คืนนี้...คิดจะลืมเธอลง
กลับกลาย...ใจเห็นเธอลอยเด่น เหมือนดาวส่อง
แพ้ แพ้มาจนเหนื่อย...วันนี้...ไม่นานคงผ่านไป
หลับตา ลงครั้งใด คงไม่เห็นเธออีก

เหงา เหงาความเหงาคงมีแต่ดาว ให้เรานั่งมอง
ฟ้า ฟ้าดูหมองมีเมฆกลมๆ ลอยอยู่เป็นร้อย
เหมือน เหมือนคนเหงาที่คอยแต่ดาว เฝ้าแต่นั่งมอง
มองจนลับลอยไปกับตา เหมือนดังกับเธอ

ล้มตัวลงนอน แหงนมองดูดาวต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องราวของ สิงห์ และ ห่วงใย จาก วงตาวัน

ก็ด้วยความที่เป็นคนเกิดใน ราศี สิงห์ แล้วก็ชอบความสวยงามของสัตว์ชนิดนี้
ก็เลยค้นคว้า หาข้อมูลสักนิดนึง ประดับความรู้


รูปสิงห์เป็นที่นิยมแพร่หลายในศิลปะอินเดียและชาวภารตะก็ถือว่าสิงห์เป็น สัญลักษณ์แห่งอำนาจและความกล้าหาญ ทุกวันนี้ชาวอินเดียก็ใช้หัวสิงห์ที่ยอดเสาหินของพระเจ้าอโศกมหาราช
เป็นสัญลักษณ์ของทางราชการ 

(ว่ากันว่า) สิงห์เป็นสัตว์ที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ แต่ต่อมามีความคิดเรื่องสัตว์หิมพานต์เข้ามาในความเชื่อเรื่องจักรวาลของไทย ทำให้ช่างคิดค้นนำเอาสิงห์ไปผสมกับสัตว์อีกหลายชนิด กลายเป็นกลุ่มสัตว์ที่เข้าใจว่าอาศัยในป่าหิมพานต์ไป
ดังเช่น ด้านล่าง

---------------------------------------------------


สิงห์เป็นสัตว์ที่ดูสง่า และน่าเกรงขาม สิงห์ในตำนานหิมพานต์สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ชนิดหลักๆ คือ ราชสีห์ และ สิงห์ผสม
- ราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูง ราชสีห์มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิดคือ บัณฑุราชสีห์ กาฬสีหะ ไกรสรราชสีห์ และ ติณสีหะ

- ส่วนสิงห์ผสมนั้นมีอยู่มากมาย โดยปกติสิงห์ผสมคือสัตว์ประสมที่มีลักษณะของ ราชสีห์กับสัตว์ประเภทอื่น


บัณฑุราชสีห์
บัณฑุราชสีห์ เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์ บัณฑุราชสีห์มีผิวกายสีเหลืองและ เป็นสัตว์กินเนื้อ บัณฑุราชสีห์จัดได้ว่าเป็นสัตว์นักล่าขนาดใหญ่สัตว์ ที่ถูกล่า มีตั้งแต่สัตว์ประเภทกวาง ควาย ช้าง หรือแม้แต่มนุษย์ ในเอกสารที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับป่าหิมพานต์ระบุว่า มีร่างกาย เหมือนสีใบไม้เหลืองและใหญ่เท่ากับวัวหนุ่ม

Kala Sriha
กาฬสีหะ
กาฬสีหะ เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์ นอกจากนี้ยังเป็นราชสีห์ที่กินพืชเป็นอาหารเท่านั้น กาฬสีหะมีกายดำสนิท และใหญ่ราวโคหนุ่ม (คำว่า "กาฬ" แปลว่าดำ)

ถึงแม้กาฬสีหะจะกินเฉพาะพืช แต่ก็ใช่ว่าจะมีกำลังวังชาด้อยไปกว่าราชสีห์ชนิดอื่น ราชสีห์ทุกชนิดมีเสียงคำราม อันทรงพลัง ในตำนานกล่าวว่าเพียงเสียงคำรามของราชสีห์ก็สามารถทำให้ สัตว์อื่นเจ็บได้

Kraisorn Rajasri
ไกรสรราชสีห
ในตำนานพระเวสันดร มีตอนหนึ่งกล่าวถึงไกรสรราชสีห์ ในเรื่องบรรยายว่าเป็นสัตว์ทรงพลัง กายเป็นสิงห์ มีขนแผงคอ ริมฝีปาก ขนหาง และเล็บเป็น สีแดงดั่งผ้ารัตนกัมพล

ไกรสรราชสีห์เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์ ในตำนานกล่าวว่าไกรสรราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังแรงกล้า เป็นนักล่าชั้นเยี่ยมและกินสัตว์ใหญ่น้่อยเป็นอาหาร


ติณสีหะ
ติณสีหะ มีกายสีแดง เป็นราชสีห์อีกชนิดที่กินแต่พืชเป็นอาหาร ลักษณะเด่นอีกอย่างของ ติณสีหะคือมีเท้าเป็นกีบแบบม้า

 เกสรสิงหะ
เกสรสิงห์ หรือกาสรสิงห์เป็นสิงห์ืี่มีส่วนผสม ระหว่างราชสีห์กับสัตว์ประเภทวัวควาย กาสรสิงห์มีผิวกายสีเทา ร่างเป็นแบบสิงห์ แต่มีเท้าเป็นกีบเหมือนเท้าควาย

เหมราช
ตามชื่อของสัตว์ชนิดนี้ เหมราชเป็นสัตว์ผสมที่มีร่างเป็นสิงห์ส่วนหัวเป็นเหม เหมเป็นสัตว์ในวรรณคดีไทยชนิดหนึ่ง บ้างก็ว่ามีลักษณะเหมือนหงส์(ห่าน) แต่ในบางรูป ก็วาดเหมเหมือนสัตว์ตระกูลจระเข้

 Kochasri
คชสีห์
คชสีห์ เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ

ไกรสรจำแลง
ไกรสรจำแลงมีหัวแบบมังกร และมีร่างเป็นราชสีห์(สิงโต) จิตรกรบางท่านเรียกไกรสรจำแลงว่า "ไกรสรมังกร" ซึ่งมีความหมาย ตรงตัวว่ามังกรสิงห์ 

ไกรสรคาวี
สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะผสมระหว่างสิงโตและวัว. ในรูปจิตรกรรมไทย มักวาดไกรสรคาวีเป็นสัตว์ที่มีช่วงหัวเป็นม้าและมีร่างเป็นสิงโต จิตรกรบางท่านวาดไกรสรคาวีเป็นสิงห์ที่มีหัวเป็นวัว แต่มีหางเหมือนม้า

 Kraisorn Naga
ไกรสรนาคา
ตามชื่อของสัตว์ชนิดนี้ ไกรสรนาคาเป็นสิงห์ผสมที่มีส่วนประกอบของนาคด้วย หางเหมือนสัตว์เลื้อยคลานประเภทงู ตัวมีลักษณะคล้ายสิงห์ แต่มีเกล็ดแข็งปกคลุมทั่วกาย


ไกรสรปักษา
ไกรสรปักษา เป็นสัตว์ผสมระหว่างสิงห์กับ นกตามรูปโบราณ ไกรสรปักษามีกายสีเขียวอ่อน หัวเป็นเหมือนพญาอินทรี ตัวเป็นดั่งราชสีห์แต่มีเกล็ดคลุม นอกจากนั้นยังมีปีกเหมือนนกอีกด้วย

โลโต
โลโต มีร่างกายเป็นสิงห์สีน้ำตาล ลักษณะเด่นคือมีเท้าแบบกรงเล็บ ชื่อโลโต เป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลก ไม่ทราบว่าจริงๆแล้วแปลว่าอะไร แต่ในภาษาจีนคำว่า โลโต แปลว่าอูฐ 

พยัคฆ์ไกรสร
พยัคฆ์ไกรสร มีส่วนประสมระหว่างสิงห์กับเสือ ส่วนหัวมีลักษณะเหมือนเสือลายพาดกลอน หรือ เสือเบงกอล ส่วนตัวเป็นแบบสิงโต ตามจริงแล้วในโลกมนุษย์ ก็มีสัตว์ที่มี ลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน นั่นก็คือ "Liger-ไลเกอร์" (สัตว์ลูกผสมที่มีพ่อเป็นสิงโต และมีแม่เป็นเสือ) หรือ "Tigon-ไทกอน" สัตว์ลูกผสมที่มีพ่อเป็นเสือ และมีแม่เป็นสิงโต)

สิงฆ์
นอกเหนือจากที่มีอธิบายไว้ว่ามีกายสีม่วงอ่อน สิงฆ์มีลักษณะเหมือนราชสีห์ทั่วไป

 Kraisorn Karwee
สิงหคาวี
สิงหคาวี มีลักษณะคล้สายกับ ไกรสรคาวี ทั้งคู่เป็นสัตว์ผสมที่มีหัวเป็น วัว และมีตัวเป็น สิงห์

สิงหคักคา
สิงหคักคา หรือสีหะคักคา มีกายเป็นเกล็ดสีม่วงเข้ม แม้จะมีส่วนหัวและตัวเป็นสิงห์ กลับมีเท้าเหมือนช้าง

สิงหพานร
สิงหพานร มีขนกายสีแดง ช่วงบนมีลักษณะเป็นวานรหรือลิง ส่วนช่วงล่างและหางมีลักษณะของสิงห์ แต่ช่วงเท้ากลับมี ลักษณะเหมือนอุ้งเท้าลิง

สิงโตจีน
สิงโตจีน เป็นสัตว์ที่ไทยเราได้มาจากประเทศจีน สิงโตจีนโดยปกติ จะมีขนปกคลุมยาวต่างจากสิงห์ชนิดอื่น ในประเทศไทย ท่านสามารถพบสิงโตจีนได้ทั่วไปตามวัดวาอาราม หรือ แม้กระทั่งศาลเจ้่าจีนเกือบทุกแห่ง 

สีหรามังกร
สิงห์ชนิดนี้มีหัวเป็นมังกร มีร่างเป็นสิงห์สีน้ำตาล คนทั่วไปมักจำ สีหรามังกร สับสนกับ ไกรสรจำแลง

เทพนรสีห์
เทพนรสีห์ เป็นสัตว์ผสมที่มีกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ส่วนท่อนล่างเป็นสิงห์ แต่ในบางตำราก็ว่ามีช่วงล่างเป็นกวาง ตัวเมียเรียกว่า "อัปสรสีห์"


Tichakorn Jatubod
Tichakorn Jatubod
ฑิชากรจตุบท
ฑิชากรจตุบท เป็นสิงห์ที่มีลักษณะของนก คำว่า จตุบท มาจากคำว่าจตุ ซึ่งแปลว่า ๔ และ คำว่า บท มาจากคำว่า บาท ซึ่งหมายถึง เท้า

ส่วนคำว่าฑิชากรแปลว่านก ในตำราบรรยายว่า สัตว์ชนิดนี้มีกายสีเขียวอ่อน ส่วนหางมีสีเหลือง 

To
โต มีลักษณะคล้ายสิงห์แต่ส่วนหัวมีเขา ๒ เขา ว่ากันว่าชื่อ โตนี้ได้มาจากชื่อสัตว์ในตำนานของประเทศลาว

โตเทพสิงฆนัต
โตเทพสิงฆนัต เป็นสัตว์ตระกูลสิงห์ มี กายสีน้ำตาล ชื่อของสัตว์ชนิดนี้มาจากคำว่า โต และ สิงฆนัต ทั้งสองคำ มีความหมายพ้องกันคือ แปลว่าสิงโต

ทักทอ
ทักทอ เป็นสัตว์ประหลาดอีกชนิดแห่งโลกหิมพานต์ มีกายท่อนล่างเป็นสิงห์ ส่วนหัวเป็นช้าง ผู้อ่านมักสับสนกับคชสีห์ เพราะทั้งคู่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก จุดต่างของสัตว์ทั้งสองคือ ทักทอมีเครา และผมตั้งไปข้างหน้า
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/thai04/10/ShaoSiamYumKung/WebPage/Singha.html  
http://www.himmapan.com

ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : แก้ไขบางคำที่ต้นฉบับผิดแล้ว

------------------------------------------


ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : จากการค้นคว้าข้อมูล และความเชื่อ
บางคนที่มักจะสร้างรูปปั้นสิงห์ ไว้ที่หน้าบ้าน หรือ ตามวัดบางแห่ง โดยเฉพาะทางภาคเหนือของไทย ก็มักจะสร้างรูปปั้นสิงห์ ไว้ที่ทางเข้าศาสนสถาน เพื่อแฝงนัยยะ ของการมีผู้คุ้มครองสถานที่นั้นๆ
บางแหล่งยังกล่าวว่า สิงห์คู่นั้น เป็นเพศผู้ 1 ตน เพศเมีย 1 ตน

างความเชื่อ มักจะดูแลสิงห์ที่อยู่หน้าบ้านให้มีความสวยงาม สมบูรณ์ มีสง่า เพราะหากรูปปั้นสิงห์นั้นๆ เปนรอยบิ่น หัก ตามแขน ขา ฟัน ฯลฯ ก็จะส่งผลไม่ดีให้กับสถานที่นั้น
อันนี้ เป็นความเชื่อนะครับ แล้วแต่วิจารณญาณ

------------------------------------------


เรื่องของความเชื่ออีกประการหนึ่งคือ
เรื่องการงาน  สิงห์ เป็นสัตว์ย่อมหาอาหารไปโดยลำพัง  พอได้อาหารสิ่งใด  ก็กินในสิ่งนั้น  ไม่เลือกว่าจะดีหรือเลว  อย่างใดในข้อนี้  เรานำมาปฏิบัติตามแบบอย่างธรรมชาติของสิงห์ได้  ๒  ประการ คือ
๑. ต้องอย่าเลือกงาน งานทุกอย่างที่สุจริตเป็นงานมีเกียรติทุกอย่าง  งานที่ไร้เกียรติก็มีแต่งานที่ทุจริตเท่านั้น
๒. ต้องมีความเป็นอยู่ง่ายๆ จงนึกว่าเรากินอาหารกินคุณค่าของอาหารมิใช่กินสีของอาหาร  และมิใช่กินรสของอาหาร  คนกินอาหารไม่มีเรื่องยุ่ง  แต่ถ้ากินรสแล้วยุ่งมากในบางคราว
(ข้อมูลจาก User แมงคอลั่น : http://www.chiangraifocus.com)

 ------------------------------------------

เพลงจากอัลบั้มโปรด ที่ฟังกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ : วงตาวัน ชุด 12 ราศี
ห่วงใย
คำร้อง : ศุ บูญเลี้ยง
ทำนอง : พงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

หมดกำลังไร้เรี่ยวแรง เคยเข้มแข็งเพียงใดไม่พอ
ขออำลาฝืนชะตาทำไม
จะจดจำให้ขึ้นใจ ทุ่มเทรักให้ไปเต็มเปี่ยม
เธอตอบแทน เพียงเสี้ยวจันทร์ข้างแรม

*ตราบใดที่ดาวห่วงฟ้า ยังห่วงใย
ทนมานานก็เพราะรักเธอหมดใจ (รอเวลาซ่อนน้ำตาเดินจากไกล)

เจ็บเมื่อยามเขาใกล้เธอ ไม่เคยเผลอว่าเธอสักคำ
ซ้ำลงไป ย้ำจนใจมันชา
เจ็บเพียงใดรักยังอยู่ ให้เธอรู้ฉันยอมไกลห่าง
อย่างคนไม่มีน้ำตา

ราศีสิงห์ : สัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ อำนาจ และทนงในศักดิ์ศรี แต่บางครั้งก็มีความอ่อนไหวอยู่ลึกๆ