ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องราวของ สิงห์ และ ห่วงใย จาก วงตาวัน

ก็ด้วยความที่เป็นคนเกิดใน ราศี สิงห์ แล้วก็ชอบความสวยงามของสัตว์ชนิดนี้
ก็เลยค้นคว้า หาข้อมูลสักนิดนึง ประดับความรู้


รูปสิงห์เป็นที่นิยมแพร่หลายในศิลปะอินเดียและชาวภารตะก็ถือว่าสิงห์เป็น สัญลักษณ์แห่งอำนาจและความกล้าหาญ ทุกวันนี้ชาวอินเดียก็ใช้หัวสิงห์ที่ยอดเสาหินของพระเจ้าอโศกมหาราช
เป็นสัญลักษณ์ของทางราชการ 

(ว่ากันว่า) สิงห์เป็นสัตว์ที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ แต่ต่อมามีความคิดเรื่องสัตว์หิมพานต์เข้ามาในความเชื่อเรื่องจักรวาลของไทย ทำให้ช่างคิดค้นนำเอาสิงห์ไปผสมกับสัตว์อีกหลายชนิด กลายเป็นกลุ่มสัตว์ที่เข้าใจว่าอาศัยในป่าหิมพานต์ไป
ดังเช่น ด้านล่าง

---------------------------------------------------


สิงห์เป็นสัตว์ที่ดูสง่า และน่าเกรงขาม สิงห์ในตำนานหิมพานต์สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ชนิดหลักๆ คือ ราชสีห์ และ สิงห์ผสม
- ราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูง ราชสีห์มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิดคือ บัณฑุราชสีห์ กาฬสีหะ ไกรสรราชสีห์ และ ติณสีหะ

- ส่วนสิงห์ผสมนั้นมีอยู่มากมาย โดยปกติสิงห์ผสมคือสัตว์ประสมที่มีลักษณะของ ราชสีห์กับสัตว์ประเภทอื่น


บัณฑุราชสีห์
บัณฑุราชสีห์ เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์ บัณฑุราชสีห์มีผิวกายสีเหลืองและ เป็นสัตว์กินเนื้อ บัณฑุราชสีห์จัดได้ว่าเป็นสัตว์นักล่าขนาดใหญ่สัตว์ ที่ถูกล่า มีตั้งแต่สัตว์ประเภทกวาง ควาย ช้าง หรือแม้แต่มนุษย์ ในเอกสารที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับป่าหิมพานต์ระบุว่า มีร่างกาย เหมือนสีใบไม้เหลืองและใหญ่เท่ากับวัวหนุ่ม

Kala Sriha
กาฬสีหะ
กาฬสีหะ เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์ นอกจากนี้ยังเป็นราชสีห์ที่กินพืชเป็นอาหารเท่านั้น กาฬสีหะมีกายดำสนิท และใหญ่ราวโคหนุ่ม (คำว่า "กาฬ" แปลว่าดำ)

ถึงแม้กาฬสีหะจะกินเฉพาะพืช แต่ก็ใช่ว่าจะมีกำลังวังชาด้อยไปกว่าราชสีห์ชนิดอื่น ราชสีห์ทุกชนิดมีเสียงคำราม อันทรงพลัง ในตำนานกล่าวว่าเพียงเสียงคำรามของราชสีห์ก็สามารถทำให้ สัตว์อื่นเจ็บได้

Kraisorn Rajasri
ไกรสรราชสีห
ในตำนานพระเวสันดร มีตอนหนึ่งกล่าวถึงไกรสรราชสีห์ ในเรื่องบรรยายว่าเป็นสัตว์ทรงพลัง กายเป็นสิงห์ มีขนแผงคอ ริมฝีปาก ขนหาง และเล็บเป็น สีแดงดั่งผ้ารัตนกัมพล

ไกรสรราชสีห์เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์ ในตำนานกล่าวว่าไกรสรราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังแรงกล้า เป็นนักล่าชั้นเยี่ยมและกินสัตว์ใหญ่น้่อยเป็นอาหาร


ติณสีหะ
ติณสีหะ มีกายสีแดง เป็นราชสีห์อีกชนิดที่กินแต่พืชเป็นอาหาร ลักษณะเด่นอีกอย่างของ ติณสีหะคือมีเท้าเป็นกีบแบบม้า

 เกสรสิงหะ
เกสรสิงห์ หรือกาสรสิงห์เป็นสิงห์ืี่มีส่วนผสม ระหว่างราชสีห์กับสัตว์ประเภทวัวควาย กาสรสิงห์มีผิวกายสีเทา ร่างเป็นแบบสิงห์ แต่มีเท้าเป็นกีบเหมือนเท้าควาย

เหมราช
ตามชื่อของสัตว์ชนิดนี้ เหมราชเป็นสัตว์ผสมที่มีร่างเป็นสิงห์ส่วนหัวเป็นเหม เหมเป็นสัตว์ในวรรณคดีไทยชนิดหนึ่ง บ้างก็ว่ามีลักษณะเหมือนหงส์(ห่าน) แต่ในบางรูป ก็วาดเหมเหมือนสัตว์ตระกูลจระเข้

 Kochasri
คชสีห์
คชสีห์ เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ

ไกรสรจำแลง
ไกรสรจำแลงมีหัวแบบมังกร และมีร่างเป็นราชสีห์(สิงโต) จิตรกรบางท่านเรียกไกรสรจำแลงว่า "ไกรสรมังกร" ซึ่งมีความหมาย ตรงตัวว่ามังกรสิงห์ 

ไกรสรคาวี
สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะผสมระหว่างสิงโตและวัว. ในรูปจิตรกรรมไทย มักวาดไกรสรคาวีเป็นสัตว์ที่มีช่วงหัวเป็นม้าและมีร่างเป็นสิงโต จิตรกรบางท่านวาดไกรสรคาวีเป็นสิงห์ที่มีหัวเป็นวัว แต่มีหางเหมือนม้า

 Kraisorn Naga
ไกรสรนาคา
ตามชื่อของสัตว์ชนิดนี้ ไกรสรนาคาเป็นสิงห์ผสมที่มีส่วนประกอบของนาคด้วย หางเหมือนสัตว์เลื้อยคลานประเภทงู ตัวมีลักษณะคล้ายสิงห์ แต่มีเกล็ดแข็งปกคลุมทั่วกาย


ไกรสรปักษา
ไกรสรปักษา เป็นสัตว์ผสมระหว่างสิงห์กับ นกตามรูปโบราณ ไกรสรปักษามีกายสีเขียวอ่อน หัวเป็นเหมือนพญาอินทรี ตัวเป็นดั่งราชสีห์แต่มีเกล็ดคลุม นอกจากนั้นยังมีปีกเหมือนนกอีกด้วย

โลโต
โลโต มีร่างกายเป็นสิงห์สีน้ำตาล ลักษณะเด่นคือมีเท้าแบบกรงเล็บ ชื่อโลโต เป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลก ไม่ทราบว่าจริงๆแล้วแปลว่าอะไร แต่ในภาษาจีนคำว่า โลโต แปลว่าอูฐ 

พยัคฆ์ไกรสร
พยัคฆ์ไกรสร มีส่วนประสมระหว่างสิงห์กับเสือ ส่วนหัวมีลักษณะเหมือนเสือลายพาดกลอน หรือ เสือเบงกอล ส่วนตัวเป็นแบบสิงโต ตามจริงแล้วในโลกมนุษย์ ก็มีสัตว์ที่มี ลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน นั่นก็คือ "Liger-ไลเกอร์" (สัตว์ลูกผสมที่มีพ่อเป็นสิงโต และมีแม่เป็นเสือ) หรือ "Tigon-ไทกอน" สัตว์ลูกผสมที่มีพ่อเป็นเสือ และมีแม่เป็นสิงโต)

สิงฆ์
นอกเหนือจากที่มีอธิบายไว้ว่ามีกายสีม่วงอ่อน สิงฆ์มีลักษณะเหมือนราชสีห์ทั่วไป

 Kraisorn Karwee
สิงหคาวี
สิงหคาวี มีลักษณะคล้สายกับ ไกรสรคาวี ทั้งคู่เป็นสัตว์ผสมที่มีหัวเป็น วัว และมีตัวเป็น สิงห์

สิงหคักคา
สิงหคักคา หรือสีหะคักคา มีกายเป็นเกล็ดสีม่วงเข้ม แม้จะมีส่วนหัวและตัวเป็นสิงห์ กลับมีเท้าเหมือนช้าง

สิงหพานร
สิงหพานร มีขนกายสีแดง ช่วงบนมีลักษณะเป็นวานรหรือลิง ส่วนช่วงล่างและหางมีลักษณะของสิงห์ แต่ช่วงเท้ากลับมี ลักษณะเหมือนอุ้งเท้าลิง

สิงโตจีน
สิงโตจีน เป็นสัตว์ที่ไทยเราได้มาจากประเทศจีน สิงโตจีนโดยปกติ จะมีขนปกคลุมยาวต่างจากสิงห์ชนิดอื่น ในประเทศไทย ท่านสามารถพบสิงโตจีนได้ทั่วไปตามวัดวาอาราม หรือ แม้กระทั่งศาลเจ้่าจีนเกือบทุกแห่ง 

สีหรามังกร
สิงห์ชนิดนี้มีหัวเป็นมังกร มีร่างเป็นสิงห์สีน้ำตาล คนทั่วไปมักจำ สีหรามังกร สับสนกับ ไกรสรจำแลง

เทพนรสีห์
เทพนรสีห์ เป็นสัตว์ผสมที่มีกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ส่วนท่อนล่างเป็นสิงห์ แต่ในบางตำราก็ว่ามีช่วงล่างเป็นกวาง ตัวเมียเรียกว่า "อัปสรสีห์"


Tichakorn Jatubod
Tichakorn Jatubod
ฑิชากรจตุบท
ฑิชากรจตุบท เป็นสิงห์ที่มีลักษณะของนก คำว่า จตุบท มาจากคำว่าจตุ ซึ่งแปลว่า ๔ และ คำว่า บท มาจากคำว่า บาท ซึ่งหมายถึง เท้า

ส่วนคำว่าฑิชากรแปลว่านก ในตำราบรรยายว่า สัตว์ชนิดนี้มีกายสีเขียวอ่อน ส่วนหางมีสีเหลือง 

To
โต มีลักษณะคล้ายสิงห์แต่ส่วนหัวมีเขา ๒ เขา ว่ากันว่าชื่อ โตนี้ได้มาจากชื่อสัตว์ในตำนานของประเทศลาว

โตเทพสิงฆนัต
โตเทพสิงฆนัต เป็นสัตว์ตระกูลสิงห์ มี กายสีน้ำตาล ชื่อของสัตว์ชนิดนี้มาจากคำว่า โต และ สิงฆนัต ทั้งสองคำ มีความหมายพ้องกันคือ แปลว่าสิงโต

ทักทอ
ทักทอ เป็นสัตว์ประหลาดอีกชนิดแห่งโลกหิมพานต์ มีกายท่อนล่างเป็นสิงห์ ส่วนหัวเป็นช้าง ผู้อ่านมักสับสนกับคชสีห์ เพราะทั้งคู่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก จุดต่างของสัตว์ทั้งสองคือ ทักทอมีเครา และผมตั้งไปข้างหน้า
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/thai04/10/ShaoSiamYumKung/WebPage/Singha.html  
http://www.himmapan.com

ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : แก้ไขบางคำที่ต้นฉบับผิดแล้ว

------------------------------------------


ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : จากการค้นคว้าข้อมูล และความเชื่อ
บางคนที่มักจะสร้างรูปปั้นสิงห์ ไว้ที่หน้าบ้าน หรือ ตามวัดบางแห่ง โดยเฉพาะทางภาคเหนือของไทย ก็มักจะสร้างรูปปั้นสิงห์ ไว้ที่ทางเข้าศาสนสถาน เพื่อแฝงนัยยะ ของการมีผู้คุ้มครองสถานที่นั้นๆ
บางแหล่งยังกล่าวว่า สิงห์คู่นั้น เป็นเพศผู้ 1 ตน เพศเมีย 1 ตน

างความเชื่อ มักจะดูแลสิงห์ที่อยู่หน้าบ้านให้มีความสวยงาม สมบูรณ์ มีสง่า เพราะหากรูปปั้นสิงห์นั้นๆ เปนรอยบิ่น หัก ตามแขน ขา ฟัน ฯลฯ ก็จะส่งผลไม่ดีให้กับสถานที่นั้น
อันนี้ เป็นความเชื่อนะครับ แล้วแต่วิจารณญาณ

------------------------------------------


เรื่องของความเชื่ออีกประการหนึ่งคือ
เรื่องการงาน  สิงห์ เป็นสัตว์ย่อมหาอาหารไปโดยลำพัง  พอได้อาหารสิ่งใด  ก็กินในสิ่งนั้น  ไม่เลือกว่าจะดีหรือเลว  อย่างใดในข้อนี้  เรานำมาปฏิบัติตามแบบอย่างธรรมชาติของสิงห์ได้  ๒  ประการ คือ
๑. ต้องอย่าเลือกงาน งานทุกอย่างที่สุจริตเป็นงานมีเกียรติทุกอย่าง  งานที่ไร้เกียรติก็มีแต่งานที่ทุจริตเท่านั้น
๒. ต้องมีความเป็นอยู่ง่ายๆ จงนึกว่าเรากินอาหารกินคุณค่าของอาหารมิใช่กินสีของอาหาร  และมิใช่กินรสของอาหาร  คนกินอาหารไม่มีเรื่องยุ่ง  แต่ถ้ากินรสแล้วยุ่งมากในบางคราว
(ข้อมูลจาก User แมงคอลั่น : http://www.chiangraifocus.com)

 ------------------------------------------

เพลงจากอัลบั้มโปรด ที่ฟังกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ : วงตาวัน ชุด 12 ราศี
ห่วงใย
คำร้อง : ศุ บูญเลี้ยง
ทำนอง : พงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

หมดกำลังไร้เรี่ยวแรง เคยเข้มแข็งเพียงใดไม่พอ
ขออำลาฝืนชะตาทำไม
จะจดจำให้ขึ้นใจ ทุ่มเทรักให้ไปเต็มเปี่ยม
เธอตอบแทน เพียงเสี้ยวจันทร์ข้างแรม

*ตราบใดที่ดาวห่วงฟ้า ยังห่วงใย
ทนมานานก็เพราะรักเธอหมดใจ (รอเวลาซ่อนน้ำตาเดินจากไกล)

เจ็บเมื่อยามเขาใกล้เธอ ไม่เคยเผลอว่าเธอสักคำ
ซ้ำลงไป ย้ำจนใจมันชา
เจ็บเพียงใดรักยังอยู่ ให้เธอรู้ฉันยอมไกลห่าง
อย่างคนไม่มีน้ำตา

ราศีสิงห์ : สัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ อำนาจ และทนงในศักดิ์ศรี แต่บางครั้งก็มีความอ่อนไหวอยู่ลึกๆ


วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Living Apart Together : อยู่อย่างแยกห่าง

Living Apart Together : LAT : อยู่อย่างแยกห่าง

ไม่รู้ว่า นี่เรียกว่า ศัพท์ยาก หรือเปล่า แต่ขอแปลมาเป็นแบบไทยๆว่า "อยู่อย่างแยกห่าง"
ภาวะ Living Apart Together อาจจะมองแบบ 2 สภาวะ
1. การแยกออกจากครอบครัว สำหรับวัยรุ่น หนุ่มสาว ที่เรียนรู้จะใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ โดยออกมาอยู่คนเดียว ออกมาเช่าอยู่กับเพื่อน ฯลฯ
2. การที่คนรักกัน แต่ก็ต้องการอิสระ แต่ก็ไม่สามารถ ที่จะอยู่ด้วยกันตลอดได้ ทั้งเหตุจาก สภาวะแวดล้อม ทัศนคติ ฯลฯ



ทั้ง 2 กลุ่มนั้น จุดเริ่ม น่าจะมาจากทางฝั่งพวกยุโรปที่มีสถานะครอบครัวทางสังคมแบบใหม่

กลุ่มที่ 1 นั้น เรียนรู้ได้ เพราะทุกคน คงเข้าใจสภาวะที่วัยรุ่น ต้องการอิสระ ต้องการเติบโตด้วยตัวเอง โดยที่ยังหวัง ยังต้องการความรัก ความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง อยู่บ้าง
กลุ่มนี้ สำหรับคนไทยแล้ว เข้าใจได้ไม่ยากนัก

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มของคน 2 คน ที่รักกัน และยังคงรักกันเสมอ แต่ด้วยปัจจัย และภาวะทางร่างกาาย สังคม อุปนิสัย จึงทำให้ ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
สภาวะแบบนี้ คนไทยเอง อาจจะไม่คุ้นเคย ตัวอย่าง เช่น



- สามี ภรรยา อยู่ร่วมกัน ในบ้านเดียวกัน แต่แยกห้องนอน ความรัก ยังคงมีให้กัน เข้าใจ ดูแลกัน แต่ไม่ไปไหนมาไหน ด้วยกัน ต่างคนต่างมีสังคมของตัวเอง ที่ไม่ขัดแย้งกัน


- คู่หนุ่มสาว ที่อาจจะเจอในกลุ่มของคนบันเทิง และัทั่วไป โดยที่จะมีที่พักอาศัยที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ไปมาหาสู่กัน แต่ก็ยังมีลักษณะนิสัยเฉพาะของตัวเอง ที่อิสระ อยากจะถอดกางเกงทิ้งตรงไหนก็ตามใจ ซึ่งหากอยู่ร่วมกัน ก็คงจะลำบาก จึงแยกกันอยู่อาศัย

ตัวอย่างเช่น นักแสดง Helena Bonham Carter ที่อยู่ร่วมกับผู้กำกับ Tim Burton ในบ้านที่อยู่ติดกัน และมีช่องในบ้านสำหรับสื่อสารกันได้


นี่เป็นภาพสังคมแบบใหม่ ที่เริ่มเข้ามาสู่สังคมไทยแบบเปิดเผย
เหมือนที่เราเปิดใจรับกลุ่มรักร่วมเพศนั่นแหละ
เขาไม่ได้ผิดอะไร เป็นเพียงสถานะทางสังคม ที่เขาเหล่านั้น ต้องการ และตอบสนองสิ่งที่เขาเป็น
เพียงแต่ หลายคน อาจจะยังไม่ชิน ไม่คุ้น...ก็เท่านั้น

แต่ถ้าเลือกได้นะ Living Together ผมว่ามันดีกว่านะครับ
มา Living Together กันเถอะ


ขอบคุณ พี่ซัน มาโนช พุฒตาล และรายการ คนกรุงเก่าเล่าเรื่อง ที่พูดถึงประเด็นนี้ ให้ผมได้หาข้อมูลเพิ่มเติม และเรียนรู้วิถีชีวิตแบบนี้

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หนังสั้น หวานขม ตอน ช่วงที่ดีที่สุด

บังเอิญ ( อีกและ ) ได้ดูทีวีผ่านทาง True Thai Film
ไปเจอภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่ง สะดุดตา
ชื่อเรื่อง หวานขม โดยเอาเพลงของ คุณบอย โกสิยพงศ์ มาเป็นจุดเดิน
เรื่องนี้ เป็นเรื่องสั้นหลายๆตอน ที่ดูแล้ว เฉยๆ ดีๆ หลายหลายอารมณ์



แต่มี 1 เรื่องครับ ที่ดูแล้ว สะดุดตา สะดุดใจ สะดุดกับคำพูดในบางท่อน

หวานขม ตอน ช่วงที่ดีที่สุด

เรื่องมีอยู่ว่า มีลุงคนหนึ่ง ชื่อ ปิยะ
แกเดินเข้ามาที่สถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อตามหาเพื่อนเก่า ที่แกรัก
เธอชื่อ กานดา
เจ้าหน้าที่ ได้ให้ ปิยะ เดินเข้าไปรอ หลังประตู เพื่อรอ.......


ช่วงที่เข้าไปรอที่หลังประตู ปิยะได้พบเด็กชาย และหญิงสาวเข้าวัยรุ่น
ได้คุยกัน และได้คุยกันถึงสิ่งของที่เป็นเหมือนตัวแทนของการระลึกถึงกัน
จนกระทั่งเด็กชาย ที่รอพบพ่อ จากไปด้วยความผิดหวัง
จนกระทั่งหญิงสาว ได้พบคนที่อยากเจอ อย่างสมหวัง



จนถึงเวลาของ ปิยะ ที่เผลอหลับไป แล้วตื่นลืมตาขึ้นมาเจอเธอ....กานดา
กานดา ในมโนภาพของปิยะ ยังคงเป็นหญิงสาวแสนสวย
กานดา และ ปิยะ ก็เริ่มสนทนากัน 
ปิยะนั้น ต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับกานดา ในช่วงเวลาต่อจากนี้ และตลอดไป



กานดา : "แต่เธอแน่ใจนะ ว่าเธอจะเป็นแค่เพื่อน"
"เธอต้องตัดใจจากผู้หญิงคนนี้ ในฐานะผู้หญิงที่เธอรัก"

ปิยะ : "ถึงแม้ว่า เธอจะไม่รักตอบฉัน แต่มันก็เป็นความสุขใจ
ถ้าเธอจะไม่ให้ฉันรัก...เธอ และให้ตัดความรักนี้ออกไป
ฉันคงทำไม่ได้หรอก"

กานดา : "เราก็นึกอยู่แล้วละ ว่าคงจะไม่มีทางได้เพื่อนชื่อ ปิยะ กลับมา
แต่อย่างน้อย เราก็ดีใจนะ ที่เธอซื่อสัตย์ต่อตัวเอง"

แล้วกานดาได้ก็หายไปจากสายตาของปิยะ


เพราะความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน
ปิยะ เฝ้าอยู่กับความคาดหวัง ที่จะได้เจอ และอยู่กับคนที่เขารัก
แต่เมื่อถึงทางเลือก ที่ต้องเลือกอย่างจริงๆ
ปิยะ เลือกที่จะอยู่กับความรัก
รักที่ไม่ได้มีสิทธิ์ครอบครอบ
รักที่ยังอยู่ในใจของปิยะ ตลอดไป

สำหรับ กานดา เนื้อเรื่องต้องการสื่อถึงสิ่งที่เธอต้องการ
คือความเป็นเพื่อน มิตรภาพในแบบเดิมๆ ที่เธอเคยได้รับ และสัมผัสอย่างนั้น

"มิตรภาพ" มันต้องเริ่มต้นจากความ "จริงใจ" จริงมั๊ย ??