ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การรับขันธ์อันตรายถึงชีวิต

การรับขันธ์อันตรายถึงชีวิต
จากเว็บไซต์ sanyana.com และ saisunya.com

มีผู้คนจำนวนมากถูกทักว่า "มีองค์" เป็นช่องทางทำมาหากินของพวกมิจฉาชีพ อาศัยช่องทางของเรื่องลี้ลับมาหลอกลวงต้มตุ๋น แท้จริงแล้วมนุษย์เราเกิดมามีองค์เทพปกปักษ์รักษาอยู่แล้ว ตำหนักทรง ร่างทรงต่างๆ หลอกให้ไปรับขันธ์ ล้วนแล้วแต่เป็น "ผี" หรือ "สัมภเวสี" ทั้งสิ้น!!
เนื่องจากผีเหล่านี้ร่อนเร่พเนจร ไม่มีสังขาร จึงมาอาศัยร่างมนุษย์เกาะกินบุญ ทำบุญไปเท่าไหร่สัมภเวสีพวกนี้เอาไปหมด ทำบุญมาก แต่ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น มันจะดีได้อย่างไรในเมื่อท่านไปรับ "ผีเข้าตัว" บางขันธ์มีเป็นสิบวิญญาณ ขึ้นอยู่กับสำนักไหน สำนักที่เป็นเสือสมิง บรรดาที่ถูกหลอกรับขันธ์มาก็เป็นวิญาณเสือสมิงเข้าตัวทั้งนั้น ที่ผ่านมาปราบไปเป็นจำนวนมาก
ร่างทรงต่างๆ ไม่รู้ว่าตัวเองถูกผีเข้า แต่เข้าใจว่าเป็นเทพเจ้า อ้างตนเป็นเทพองค์ใหญ่ๆ เพราะถ้าบอกว่าเป็นผี.. ก็คงไม่มีใครศรัทธาเชื่อถือ เลยอ้างตนเป็นพระแม่อุมาบ้าง พระศิวะบ้าง พระพิฆเนศบ้าง พระพรหมบ้าง เสด็จพ่อ ร.5 บ้าง (ท่านไม่มาดูหมอดูดวง หรือมายุ่งกับเรื่องผัวเมีย ทำนายทายทักอะไรเพราะท่านไม่มีหน้าที่จุกจิกกับเรื่องแบบนี้) บ้างก็อ้างเป็นกรมหลวงชุมพรบ้าง พระเจ้าตาก ฯลฯ ก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ เพราะกษัตริย์ไทยดังๆ มีอยู่ไม่กี่องค์ หากินง่าย ยิ่งเป็น ร.5 ก็หลอกคนได้มากที่สุดเพราะคนนับถือเยอะ ..

แท้จริงแล้ว ใครทรงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แจ้งความให้ตำรวจจับได้เลย ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฏหมายเค้ามีอยู่ (แต่ก็เห็นมีพวกตำรวจ ลูกเมียตำรวจ ไปเป็นลูกค้าพวกร่างทรงก็มีนะ เห็นเข้าตำหนักกันเยอะ เจริญละ...)

ผู้ที่รับขันธ์มา ส่วนใหญ่ แล้วชีวิตอัปปาง วิบัติ ลมสลายเกือบทุกรายไป ที่ยังไม่ออกเหตุก็เพราะบุญยังเยอะ สุดท้ายจบลงด้วย โรคมะเร็ง เบาหวาน พิการ อัมพาต หรืออุบัติเหตุแทบทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าของตำหนักคนทรงก็ตามมักจะจบชีวิตด้วยเหตุนี้ โดนผีกัดกินอวัยวะภายในให้เจ็บป่วยในบั้นปลายชีวิต...บ้างก็ล้มตายด้วย อุบัติเหตุไปเลย!!!

ที่ผ่านมามีผู้ ทนทุกข์ทรมานจากการรับขันธ์แล้วผีเข้าเป็นจำนวนมาก บางคนหมดเงินไปเป็นล้านๆ บางคนก็ถอนเอง แต่ส่วนใหญ่จะทำไม่ถูกวิธี ..ทิ้งขันธ์ไปก็มี แต่วิญญาณในขันธ์นั้นยังเกาะอยู่ที่เดิม..!! ถึงจะเหลือแต่ขันเปล่าๆ ก็ผีมันยังสิงสถิตไว้ที่เดิมอยู่ดี
งานพิธีไหว้ครูต่างๆ เป็นการเต้นรำ บรรดาผีต่างๆ แต่งตัวมาเลียนแบบเทพ กันสนุกสนาน ท่านสังเกตุเกิดว่า พระแม่กวนอิมต้องมาฟ้อนรำกับกุมาร หรือพระศิวะ กุมารต่างๆ หรือมหาเทพอย่างพระแม่อุมา จะมาฟ้อนเต้นแร้งเต้นกากับผี หรือกุมารต่างๆ อย่างนั้นหรือ..???

แท้จริงแล้วเทพต่างๆ ล้วนอิ่มทิพย์ ไม่ ต้องมาทรมานสังขารมนุษย์ เพราะมันเป็นบาป นั่งสั่นๆ หงายท้อง เคี้ยวหมาก หรือดูดบุหรี่ทีละ 4-5 มวน อันนั้นมันผีชัดๆ หรือพูดจาด่าทอสาปแช่งมนุษย์ หากมีจิตใจไม่ดี หรือไม่มีศีลธรรมคงไม่เป็นเทพหรอกครับ ยกเว้นพวกผีชั้นต่ำเท่านั้น!!

บางตำหนักทรงก็เป็นผีชั้นดี ต้องการสร้างบุญจริงๆ ไม่เก็บเงินใดๆ เอาไปทำบุญ แต่หากให้รับขันธ์ ก็ผิดอีกนั้นแหละ ไปเอาพวกผีด้วยกันมาใส่ตัวชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อนกัน
บางท่านไม่ได้รับขันธ์ แต่เข้าไปร่วมด้อมๆมองๆในบริเวณตำหนักทรง ก็โดนสัมภเวสีเข้าแทรกได้เช่นกัน มีอาการแปลกๆ ดังที่เห็นได้ในงานพิธีของตำหนักทรงต่างๆ บางครั้งเห็นว่าเพียงพรมน้ำมนต์ก็จะสงบลง แต่จริงๆแล้วผียังไม่ออกนะครับ...ผลสุดท้าย ตำหนักทรงนั้นเพียงเอาเรื่องนี้มาทำมาหากิน ขายพานดอกไม้ ขายผลไม้ถวายเทพในราคาแพง ขายวัตถุมงคลของปลอม ฯลฯ
มนุษย์เรา ไม่เข้าใจเรื่องของกฏแห่งกรรม ไปเอาไสยศาสตร์หรือวิชาต่ำๆมาคุ้ม ถึงได้ถูกผีเข้ากันมากมาย ใครรู้ตัวถอยออกมาก่อน ก็นับว่าเป็นบุญ...


ความเข้าใจเรื่องการรับขันธ์ ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบ ไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

แต่....ตำหนักทรงต่างๆ จะบิดเบือนว่า ขันธ์ 5 คืออย่างเดียวกับ ศีล 5 (ตั้งใจหลอกลวงเพื่อให้ทำพิธีรับวิญญาณเข้าตัว)


ผี วิญญาณ จะมีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์
จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ และยังหมายถึงข้อตกลง ระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพ ผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป

ความหมายของขันธ์ต่างๆ
ขันธ์ 5 หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ขันธ์ 8 หมายถึงการรับ ศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง
ขันธ์ 9 หมายถึงการรับ ศีล อุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ
ขันธ์ 10 หมายถึง ศีล ของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ
ขันธ์ 16 หมายถึง ศีล ของนักบวช 227 ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น

ดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมา แล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับขันธ์เลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ หรือเทพที่บูชา โดยเฉพาะการนั่งสมาธิ ต้องนังสมาธิให้ถึงขั้นสูงสุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ รวมถึงการแผ่เมตตาถึงสรรพสัตว์ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา

คำแนะนำเรื่องการรับขันธ์
ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ก็จงอย่าไปรับขันธ์เลย ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ และองค์เทพที่คุ้มครองตนเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือปรารถนาจะได้ร่วมสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็น อะไรที่ต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มี นอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิตดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากกรรมส่วน นี้ได้
ดังนั้นการที่เราได้กล่าวถึงกรณีการรับ ขันธ์นี้ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข มนุษย์เราไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจได้รับการชี้แนวทางแก้ไขได้ เพราะปัญหาต่างๆ ทั้งชีวิตความรัก การงาน สุขภาพ ฐานะการเงิน ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น... ธนากร ปุสสวงษ์ saisunya.com
...จึงขอให้ใช้สติพิจารณาไตร่ตรอง...

คุณถูกผีหลอกให้รับขันธ์รับ องค์หรือเปล่า ?
(ข้อ ความจาก saksitsart.com)

คำว่า รับขันธ์ แทนที่คุณจะเป็น ฝ่ายรับ คุณกลับต้องเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายเสียขันธ์(ห้า)ให้พวกผีห่าซาตานไป
ขันธ์ห้าที่คุณต้องสูญเสียไปหลังจากที่คุณไปรับขันธ์ (ผี) รับองค์ หรือ รับสัญญา ยอมเป็นทาสผี
สิ่งที่คุณต้อง สูญเสีย ให้ พวกผีห่าซาตานไปก็คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
แล้วคุณจะเหลืออะไร ?
ในเมื่อคุณหลงไปเป็นเหยื่อของพวกมันแล้ว ทุกอย่างในร่างกายของคุณตกเป็นทาสผี คุณบริจาคขันธ์ห้าให้พวกผีไปเพราะถูกพวกผีหลอก
ถ้าคุณบริจาคสังขารบริจาคอวัยวะให้โรงพยาบาล เมื่อคุณเสียชีวิตไปแล้วเขาจึงมีสิทธิ์นำอวัยวะที่คุณบริจาคไปใช้ได้
แต่สัญญา ขันธ์ สามารถใช้ร่าง กายและจิตวิญญาณของคุณได้ ไม่ว่าคุณจะตายหรือเป็น!!!

ที่มา : Hindumeeting.com

ร่างทรง..กำลังทรงเจ้า...หรือโดนผีสิง?

ร่างทรง..กำลังทรงเจ้า...หรือโดนผีสิง?
จากเว็บไซต์ sanyana.com และ saisunya.com

ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรอง หลงยึดติดในเรื่องอิทธิฤทธิ์จนเกินไป ทำให้หลงเป็นเหยื่อของเหล่า 18 มงกุฎ ที่ชอบอวดอ้างตนเอง ตั้งตัวเองเป็นเกจิอาจารย์ ใช้เล่ห์กลมายาและหน้าม้าขบวนการหลอกล่อ กระทำเรื่องราวต่าง ๆ อวดอ้างเป็นผู้วิเศษในเรื่องราวต่าง ๆ จนผู้คนหลงเชื่อ ในที่สุดก็ต้องสูญเสียเงินทองไปกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้
การเจ็บป่วยของมนุษย์นั้น จัด ได้ว่าเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งที่พบเห็นกันอยู่ทุกวัน ดังได้กล่าวมาแล้ว หากเกิดจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ก็อาจเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด ไอหรือจาม เพียงกินยาหรือหาหมอก็หาย บางคนอาจมีวิตกจริตมากชอบคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมากมายจนเกิดความเครียด นำไปสู่โรคหัวใจ โรคประสาท ก็เป็นไปได้ แต่บางโรคเพียรพยายามจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย กินยากันเป็นปี ผ่าตัดกันเป็นประจำ ก็ไม่หาย
ดังนั้นหนทางแห่งการแก้ไข ก็เลยหนีจากทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาเป็น ไสยศาสตร์ หาร่างทรง องค์เทพกันไป หายก็มี ไม่หายก็มี เพราะถ้าโชคดี พบกับผู้มีภูมิความรู้จริง ๆ ก็คงจะหาย แต่ถ้าพบผู้แอบอ้างแฝงมาหา กิน ก็คงจะเสียเงินมากกว่าจะหาย
สิ่งหนึ่งที่มักจะพบเห็นมักได้แก่ ถูกทักทายว่ามีองค์ และจะต้อง ครอบขันธ์ครู รับ องค์เทพไปบูชามิฉะนั้นจะไม่หายป่วย บางทีอาจถึงตาย คนเรามาถึงขั้นนี้มีหรือจะไม่ยอม ส่วนใหญ่จะยอมรับขันธ์กัน เพราะ อยากหาย และ อยากรวย ดังนั้นเมื่อถูกทักว่ามีองค์ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจ เพราะอาจจะเป็นก้าวแรกที่ท่านจะต้องเสียเงินให้แก่ตำหนักนี้อีก เรื่อย ๆ เช่น การครอบขันธ์ งานไหว้ครู เป็นต้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ท่านมีองค์จริง? หรือว่าถูกหลอก??

(ร่างทรงพระพิฆเนศ ร่างทรงพระพิฆเณศ ร่างทรงพระพิคเนตร ร่างทรงพระศิวะ ร่างทรงพระวิษณุ ร่างทรงพระนารายณ์ ร่างทรงเจ้าแม่กาลี ร่างทรงเจ้าแม่อุมาเทวี ร่างทรงเจ้าแม่ลักษมี ร่างทรงเจ้าแม่ทุรกา ร่างทรงเจ้าแม่ทุรคา ร่างทรงพระขันทกุมาร ร่างทรงพระกฤษณะ ร่างทรงพระแม่กาลี ร่างทรงพระแม่อุมาเทวี ร่างทรงพระแม่ลักษมี ร่างทรงพระแม่ทุรกา ร่างทรงพระแม่ทุรคา ร่างทรงพระราม)


เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีองค์หรือเปล่า หรือชอบไปเที่ยวหาร่างทรงตามตำหนักต่าง ๆ เป็นเทพจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงสัมภเวสีที่แอบอ้างหากินไปวัน ๆ พอถูกเขาทักว่ามีองค์ก็เลยพาลรับขันธ์ 5 ไปเลยก็มี ถ้าทำถูกต้องก็ดีไป ถ้าทำไม่ถูกต้อง กลายเป็นว่าเอาผีมาใส่ไว้ในตัวก็จะซวยไปกันใหญ่ เพราะบางทีเราไม่ทราบว่า ตำหนักไหนแท้หรือเทียม บางคนไม่มีอะไร แต่พอเห็นเขามีองค์ก็พาลอยากจะเป็นบ้าง ก็เลยทำให้มีทั้ง คนทรงเจ้า หรือ เจ้าเข้าทรง ก็อยู่ในวิจารณญาณของท่านที่ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีเสียก่อน
เทพแต่ละองค์มีบารมีสูงมาก ไม่มานั่งสั่นๆ การสั่นที่เราพบเห็นกันคืออาการของ ผีเข้า หรือ สัมภเวสีเข้า เนื่องจาก บุญของผู้ที่กำลังจะเข้านั้นน้อยมากๆ และการใช้พลังงานมากในการเข้าออก เทพจริงๆ สวมร่างได้ไม่ต้องเชิญและไม่ต้องสั่น(สวมตามบารมีของผู้นั้นว่ามีธาตุกุศล มากน้อนแค่ไหน) การสั่น หรือการทรมารร่าง ให้อาเจียร หงายท้อง ปวดหัว ปวดบ่า นั้นเป็นบาปมหันต์ เราเองไปทรมารสัตว์ยังบาปเลย แล้วเทพ หรือมหาเทพมาทรมานมนุษย์ ให้จริต ร่างผิดเพี้ยนไป ยิ่งบาปมาก หรือพูดง่ายๆ คือ "สัตว์โลก ย่อมไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน" เทพเทวดาส่วนใหญ่ ก็ไม่เสี่ยงกับการถูกขับลงจากสวรรค์ หรือหมดอายุขัยง่ายๆ ด้วยวิธีนี้.
ข้อสำคัญ ที่สั่นๆ นั้นเรียกว่าการเข้าทรง แล้ว ทำประโยชน์อะไรให้ร่างนั้นบ้าง นอกจากมาเกาะกิน บุญ เครื่องเซ่นไหว้ แล้ว วันหนึ่งก็ไป..ในระหว่างการลง ผู้ที่ไม่เคยเห็นหรือศึกษา ก็คิดว่าเป็น ความวิเศษ...

ถาม - ตามตำหนักทรงทำไมต้องเจิมหน้าผาก ?
ตอบ - การเจิมหน้าผากเป็นการสะกด หรือกดให้สังขารวิญญาณนั้นอยู่ภายใต้อำนาจตนเอง หรือกดให้เป็นบริวาร พระพุทธเจ้าสอนธรรมมะ ให้กับสาวก แม้แต่องคคุลีมาร ยังสำเร็จอรหันต์ มิได้ให้เจิมหน้าผากใคร
ถาม - เหตุใดวันพระจึงไม่ยอมเข้าทรง?
ตอบ - วันพระคือวันที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรด สรรพสัตว์ทั้งหลาย และเหล่าทวยเทพเทวดา มาฟังธรรม เทวดาก็ต้องการหลุดพ้นเหมือนกัน การที่ตำหนักต่างๆ ไม่ทรง เรียกว่าไม่กล้าเข้า เพราะเกรงกลัวอำนาจ
...จึงขอให้ใช้สติพิจารณาไตร่ตรอง...

ความเห็นเรื่อง "ร่างทรง" จาก อาจารย์คมกฤช (ศรีหริทาส)
นักปรัชญาวัดเทพมณเฑียร และ มหาวิทยาลัยศิลปากร


...เรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำต้องประกาศไว้ในที่นี้ คือ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูไม่มีการทรงเจ้าเข้าผี 

พิธีการทรงเจ้าเข้าผีนั้นไม่มีอยู่ในคัมภีร์ใดๆ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นเรื่องที่พราหมณ์ผู้รู้พระเวททั้งปวงไม่ยอมรับ 
ท่านพระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าคณะพราหมณ์ ตัวแทนของศาสนาพราหมณ์ฮินดูในประเทศไทยเคยกล่าวว่า การอ้างองค์เทพว่าตนมีภาวะอย่างนั้นอย่างนี้เทียบเท่าองค์เทพ ไม่อยู่ในแนวทางของความหลุดพ้น เป็นสิ่งไม่พึงกระทำ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านอย่างยิ่ง แลรู้สึกรับไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ 
ข้าพเจ้ามิได้รังเกียจการทรงเจ้าเข้าผีแบบชาวบ้าน ซึ่งมีหน้าที่บางประการในชุมชนชนบทไทย เช่น การรักษาโรคตามภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือการรักษาความสัมพันธ์ในชุมชน แต่รับไม่ได้กับการเอา “พระเป็นเจ้า” ในศาสนาไปเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ 
คนเหล่านี้ถ้าไม่หลอกลวงก็เป็นพวกวิปลาสมีความผิดปกติในจิตใจ หรือไม่ก็เจ็บป่วย ทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้หมายความว่าการดลใจโดยพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสิ่งที่เป็น ไปไม่ได้ แต่นั่นย่อมเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ไม่สามารถบอกเล่าให้ผู้อื่นฟัง ดังเช่นที่บรรดาพระมุนีและโยคีต่างๆ เคยประสบ
ขอให้ท่านทั้งหลายจดจำข้อนี้ให้ ดี หากท่านเพิ่งจะเป็นผู้เริ่มสนใจก็ขอให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและพึงรู้ว่า เราสามารถเข้าถึงพระเป็นเจ้าได้โดยไม่ต้องพึ่งคนทรงเจ้าหรือผู้วิเศษใดๆทั้ง สิ้น!!!

องค์ลง หรือ ผีสิง !!
โดย พระพันธกานต์ อภิปญฺโญ / เว็บ samyaek.com

"...
คนปกติเขาก็มีกันแค่ หนึ่งใจกับหนึ่งกายและดำเนินชีวิตไปตามปกติ

แต่คนที่ไม่ปกติ ก็จะมีหลายใจอยู่ในร่างกายเดียว และดำเนินชีวิตไม่ค่อยปกติเหมือนคนอื่น
เขาเรียกคนแบบนี้ว่า คนถูกผีสิง ยิ่งมีมากก็คือถูกสิงมาก มันไม่ใช่องค์ใช่แอ็งค์อะไรหรอก
พวกผีเร่ร่อนอยู่แถวๆโลกนี้แหละ ทำเป็นอ้างเทพองค์นั้นองค์นี้ ไอ้พวกผีขี้บาปมันก็อ้างไปเรื่อยนั่นแหละเพราะมันไม่รู้จักบุญ-บาป อะไรหรอก ถ้ามันรู้จัก บาป-บุญ แล้ว การกระทำแบบนี้พวกผีต้องไม่ทำ
เพราะร่างกายนี้มีใจดวงหนึ่งครอบครองอยู่ก่อนแล้ว และมีสิทธิ์เกี่ยวกับร่างกายนี้อย่างชอบธรรมด้วย
การสิง - การทรง นี้เป็นบาปมากนะ ต้องไปตกนรกเพราะทำบาปเกี่ยวกับการสิงคนนี้แหละ

พวกผีเร่ร่อนทั้ง หลายนั้น ก็หาสิ่งหลอกล่อ มาอ้างนั้นอ้างนี้เพื่อจะได้เข้าสิงร่างกายคน (อ้างว่าตนเป็นองค์เทพ หลอกเจ้าของร่าง) และหาวิธีที่จะครอบครองร่างกายนี้และพยายามที่จะมีอำนาจเหนือใจดวงที่เป็น เจ้าของร่างกายนั้นด้วย พวกมนุษย์ก็ไม่ทันเหลี่ยมผี ไปกราบไปไหว้หาว่าพวกผีนี้ดีนัก (ที่ตนดันเข้าใจว่าเป็นเทพ) แล้วก็ยินยอมทำตามที่ผีมันบอกทุกอย่าง
พวกผีก็เลยได้โอกาสวางมาด เพราะคนทั้งหลายไม่มีที่พึ่งให้ใจของเจ้าของ
พาใจของเจ้าของสะเปะสะปะ อ่อนระโหยโรยแรงไปเรื่อยหาจุดหมายปลายทางไม่เจอ
ทั้งๆที่ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังคงอยู่คู่โลก ก็ไม่พากันเชื่อมั่น หาว่าเป็นเรื่องตกยุคตกสมัยบ้าง โบราณแล้วบ้าง เป็นเรื่องที่เข้าใจยากบ้าง เป็นเรื่องทำตามได้ยากบ้าง ข้ออ้างทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไปเข้าแผนของพวกผีทั้งนั้น
แม้แต่ผี กิ๊กก๊อกก็ยังหลอกให้คนเชื่อได้ แสดงอานุภาพนิดๆหน่อยๆ ก๊อกๆแก๊กๆ แค่นี้คนก็ไปจุดธูปบูชามันแล้ว
ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกัน เพราะคนขาดการศึกษา ขาดการทำความเข้าใจเรื่องศาสนานี้อย่างมาก ...

แต่จะว่าไปก็คงจะเป็นเพราะคนไปก้มหัวยอมรับนับถือให้พวกผีเลอะเทอะมันสิงเอา ด้วย
เพราะเรื่องแบบนี้ปรบมือข้างเดียวก็คงไม่ดัง คนนี่ก็แย่พอๆกันกับผี นั่นแหละ

ยิ่งพวกผีที่มาหาสิงคนแล้วอวดอ้างนั่นๆนี่ๆบ้าๆบอๆ มันไม่ได้วิเศษห่าอะไรของมันหรอกนะ
ไม่ยุ่งกับมันได้เป็นดีที่สุด ไอ้พวกผีสกปรกพรรค์นี้ นับวันมีแต่จะสร้างบาปเหยียบย่ำทำลายตัวเองให้หนักขึ้นๆ "

ที่มา : Hindumeeting.com

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คน "มีองค์" กับ "ร่างทรง" ต่างกันอย่างไร? โดย : ประชาบดี Siamganesh.com

พอดีติดตามและสนใจ เรื่องเข้าทรง แล้วผ่านไปเห็นจาก Hindumeeting แล้วผ่านมาที่ Siamganesh น่าสนใจดี 
เลยขอคัดลอกบางส่วนมาบันทึกไว้ที่นี่ด้วย

คน "มีองค์" กับ "ร่างทรง" ต่างกันอย่างไร?
คนมีองค์ หมายความได้ถึง คนที่มี องค์พระ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาคุ้มครอง หรือมีความเกี่ยวพันกับชีวิตมาตั้งแต่เกิด อาจจะเป็นพันธะสัญญาแต่ชาติปางก่อน หรือทำบุญกุศลมามาก ทำให้เกิดมาชาตินี้เป็นคนที่สามารถสื่อจิตไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนที่ไม่มีองค์มาแต่กำเนิด แต่อาศัยการฝึกฝนจิต นั่งสมาธิ สวดมนต์บูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนสามารถสื่อจิตถึงเทพเจ้าได้ เมื่อคนมีองค์แล้ว ไม่หมั่นฝึกจิต สวดมนต์ นั่งสมาธิ การรับรู้สื่อจิตไปถึงองค์ก็จะค่อยๆหายไป กลับมาเป็นคนที่ ไม่มีองค์ ไปในที่สุด...

ร่างทรง คือคนที่ตั้งตนเป็นใหญ่เหนือสามัญชนทั่วๆไป ด้วยการแสดงอิทธิฤทธิ์ เช่น อมควันธูป เดินลุยไฟ เหยียบหนาม เสกของ จัดสร้างวัตถุมงคลระดับต่ำ ทำนายทายทัก รักษาโรค ทำไสยศาสตร์ เล่นของดำ โดยส่วนใหญ่มักจะแอบอ้างพระนามของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้ดูยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์

นอกจากเรื่องเข้าทรง ยังมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ภาพนิมิต เสียงแว่วๆ พูดภาษาแปลกๆ อะไรต่อมิอะไรมั่วไปหมด ทำให้ศาสนาเสื่อม การทำนายทายทักที่เห็นว่าพวกร่างทรงนั้นสามารถทำได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงแค่คาดเดา หรือไม่ก็หากแม่นจริงๆ ก็คือการเล่นวิชา ไสยศาสตร์ของเขมร (พวกนี้มีจริงๆครับ แต่ไม่ใช่แนวทางของศาสนาฮินดู) พวกที่นิมิตเห็นอดีตของเรา ทายเงินในกระเป๋าสตางค์ได้ถูกต้อง ทายชื่อแฟนเก่า ทายใจ ตอบได้ว่าสามี-ภรรยามีชู้อยู่ที่ไหน ตลอดจนการเสกของเข้าท้อง ฯลฯ พวกนี้มีอยู่จริง แต่เป็นวิชามาร (ทางเขมร หรือพม่า) คนโดนของจากพวกนี้จะถูกฉุดดึงให้ชีวิตตกต่ำ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น คนที่รู้ตัวและต้องการจะหลีกห่างจากร่างทรงพวกนี้ก็จะโดนไสยศาสตร์เช่นกัน ขอจงเข้าใจว่า วิชามารพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์และฮินดูทุกพระองค์

คนที่ถูกทักว่า มีองค์ อย่าเพิ่งไปหลงเชื่อหลงดีใจ เพราะคนมีองค์ไม่ใช่ว่ามีได้ง่ายๆ บุญกุศลไม่ถึงพอก็ไม่สามารถมีได้เลยตลอดชีวิตนี้ ถามตัวคุณเอง ก่อนว่าคุณได้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรม ทำบุญกุศลไว้มากมายเพียงพอที่จะ มีองค์ ได้แล้วหรือไม่ แม้แต่นักบวช พราหมณ์ พระสงฆ์ เกจิอาจารย์ ผู้ปฏิบัติธรรมแก่กล้ามีวิชา ก็มีอีกนับไม่ถ้วนที่ยัง "ไม่มีองค์" เลย!!!!

สรุป...คนมีองค์ ไม่จำเป็นต้องเป็น ร่างทรง...

ร่างทรง อาจจะ ไม่มี องค์ เลยก็ได้ (ผู้ที่เข้าข่ายหลอกลวง)
คนมีองค์ ไม่จำเป็นต้อง รับขันธ์ เพราะการรับขันธ์ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูแม้แต่น้อย
ถ้ามีคนทักว่า มีองค์ ก็ให้เฉยๆไว้ อย่าหลงเชื่อ... คุณอาจจะมีองค์จริง หรือไม่มีองค์ ก็ไม่มีใครทราบ และไม่จำเป็นต้องทราบ...
อย่าไปเสียเงินค่าพิธีแม้แต่บาทเดียว เพราะถ้าเสียเงินครั้งแรกจากการรับขันธ์..คุณจะโดนของเขมรทันที...และต้อง เสียไปเรื่อยๆจนหมดตัวในที่สุด!!

ขอให้กลับไปสวดมนต์ภาวนาบูชาพระอย่างเดิม ไหว้พระก็ไหว้ที่บ้าน อยากไหว้นอกบ้านก็เข้าวัดหรือเทวสถานไปเลยจะดีกว่าครับ...


........................................................................................................................................................................

คุณอาจจะเคลิบเคลิ้ม เมื่อถูกร่างทรงทักว่าคุณมีองค์ของเทพองค์นั้นองค์นี้..
การได้ไปอยู่ในสถาน ที่ที่เป็นจุดอับ อัดแน่นไปด้วยควันธูป กลิ่นกำยาน กลิ่นดอกไม้ รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนพนมมือไหว้ มีเทวรูปของเทพเจ้ามากมาย เต็มไปด้วยเศียรของฤาษีพ่อแก่ หัวโขน กุมารทอง เจ้าพ่อเจ้าแม่ ฯลฯ 
บรรยากาศเหล่านี้จะก่อให้เกิดความกลัว ความกลัวก่อให้เกิดความศรัทธา และในบรรยากาศที่มีผู้ศรัทธาอยู่ด้วยกันมากๆ จะทำให้คุณเกิดอุปาทาน คล้อยตาม จิตประหวัดก่อให้เกิดอาการมือชา ตัวชา ตัวสั่น ปวดหัว เมื่อผู้คนรอบข้างคุณเริ่มมีอาการ คุณก็จะมีอาการ เมื่อคุณมีอาการ คนอื่นๆก็ก็คล้อยตามไปเรื่อย...อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ตัวร้อน ตัวสั่น ก็นึกไปว่าเทพประทับ ลุกขึ้นร่ายรำ ดันไปเรียกอาการนี้ว่า เจ้าเข้าทรงแล้ว...ก็มั่วกันไปทั้งตำหนัก!!

ยิ่งตำหนักนั้นๆเลี้ยงผีไว้ด้วย อาการต่างๆที่ว่ามานี่แหละก็เป็นช่องทางให้ผีมันเข้าสิงได้ เพราะผีมันชอบสิงคนจิตอ่อน ชอบแทรกเข้าร่างคนที่ไม่มีภูมิต้านทานในจิตใจ คนที่ถูกวิญญาณเข้าแทรกก็ดันคิดว่า อ้อ..กูนี่คือเทพนี่เอง!!!


ตามตำหนักทรง เราสามารถพบเห็นเรื่องทุเรศๆ ที่บิดเบือนไปจากศาสนาพุทธ-พราหมณ์ ได้มากมาย เช่น ร่างทรงพระพิฆเนศอ้วกแตกเพราะสูบบุหรี่ใบจากในขณะ ประทับทรง , 
พระแม่อุมาลงประทับลงร่างทรง ที่เป็นกะเทย ,  
พระวิษณุนารายณ์ต่อสู้กับนาง ตะเคียน ,  
พ่อแก่ฤาษีประทับทรง แล้วกระโดดกอดสีกา ,  
พระแม่ลักษมีดูดวงให้ลูกศิษย์ ,  
พระนารายณ์อวตารสูบบุหรี่ยี่ห้อ Marlboro , 
พระพรหมลงมาใบ้หวย ให้เลขเด็ดแก่ลูกศิษย์ ,  
พระพุทธเจ้ามาลงประทับร่างคนหน้าเหมือนโจร ,  
พระศิวะคุยภาษาแขกกับเจ้าแม่ กวนอิม (อันนี้ฮาสุดๆ) ฯลฯ 
แล้วคุณทั้งหลายยังจะคิดว่าองค์เทพเจ้าต่างๆที่ลงมาประทับนั้น เป็นองค์จริงๆแน่หรือ??

ก็เพราะคำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" นี่เองที่ทำให้ประเทศไทยเราไม่เจริญสักที หากพบเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดูท่าจะเป็นการหลอกลวง เป็นการแหกตา ก็สมควร ลบหลู่ ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป!! คนไทยกลัวกันเยอะครับ ประเทศชาิติเลยไม่เจริญสักทีทั้งทางโลกและทางธรรม...

การอัญเชิญทิพยสภาวะของเทพเจ้าลงมาสู่กายแห่งมนุษย์ หรือการประทับทรงนั้น หาใช่เรื่องที่ใครๆ จะทำกันได้ทั่วไป ผู้ที่สามารถอัญเชิญพลังบารมีแห่งองค์เทวะมาประทับหรือสื่อจิตไปถึงองค์เทวะ ได้นั้น จะต้องได้รับการฝึกจิต ปฏิบัติธรรม เพื่อชำระกาย ชำระใจของตนให้สะอาดเสียก่อน ขอได้โปรดเข้าใจและศึกษาอย่างถ่องแท้นะครับ / เขียนโดย - ประชาบดี Siamganesh.com

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับร่างทรง โดย : ราติกาญา / สยามคเณศ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับร่างทรง
โดย : ราติกาญา / สยามคเณศ


เทพ เทวดาทั้งหลาย ที่อยู่บนสวรรค์ชั้นต่างๆ ล้วนแล้วแต่รังเกียจร่างกายของมนุษย์ เพราะกายของมนุษย์นั้นหยาบ จิตของมนุษย์ก็ยิ่งหยาบกว่าหลายเท่า จึงไม่มีความจำเป็นต้องมาเข้าทรง เทวดานั้นอยู่บนสวรรค์ ท่านทั้งหลายจะไม่ลงมาเด็ดขาด ยิ่งถ้าเป็น พระพิฆเนศ พระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ และพระแม่ที่ เป็นมเหสีของมหาเทพทั้ง 3 นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนมีบุญบารมีมากพอที่องค์ท่านจะมาประทับได้ (ในสมัยโบราณนั้นมีอยู่ แต่ปัจจุบันร่างทรงมหาเทพและมหาเทวีได้หมดไปจากโลกนี้แล้วโดยสิ้นเชิง) 
 
สำหรับกรณีร่างทรงในวัดแขก สีลม ที่เป็นพราหมณ์จากอินเดียนั้น ขอให้ผู้อ่านเข้าใจไว้ว่า พระแม่อุมา พระแม่กาลี และพระขันธกุมาร องค์ท่านไม่ได้มา "เข้าทรง" ที่ร่างของพราหมณ์ผู้นั้น แต่เป็นการที่พราหมณ์ผู้นั้น ได้กำหนดจิตตั้งมั่นไปยังพระแม่อุมา จีงเกิดสมาธิ เกิดการระบำร่ายรำ เพื่อถวายพระแม่ และทำการโปรยผงธูปให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มาเข้าเฝ้า พิธีกรรมทรงเจ้าแบบนี้ จะมีขึ้นเฉพาะชาวทมิฬ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียเท่านั้น มีการปฏิบัติ ถือศีล อดอาหาร ถูกต้องตามตำราโบราณ ซึ่งทีมงานของเราก็ให้ความเคารพและไม่ได้ต่อต้าน มีความแตกต่างจากร่างทรงคนไทย จึงขอให้แยกแยะให้ถูกด้วย

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่เห็นทรงเจ้ากันอยู่ทั่วๆไปนั้น มีอยู่ 3 ประเภท คือ

1. เทพ เทวดา คนธรรพ์ วิทยาธร และ วิญญาณที่บุญยังไม่ถึงพอ มาเข้าทรง
เทวดาและวิญญาณเหล่านี้ บางกลุ่มที่เป็นอมนุษย์ จะมีศัพท์เรียกกันว่า "วิทยาธร" โดยวิทยาธรนี้ จะมีวิชาอาคม เหาะเหินเดินอากาศ มีความสามารถในการรักษาโรค ปรุงว่านยา บีบนวดตามแผนโบราณ ทำนายดวงชะตา สามารถจำแลงตัว มาเข้าสิงมนุษย์ เป็นการมาเพื่อโปรดมนุษย์ เพื่อสั่งสมบุญของวิทยาธรเองให้มีมากพอแล้วก้าวต่อไปยังภาคหน้า ร่างทรงประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นคนดี มีความเอื้ออาทรต้องการให้ผู้คนพ้นทุกข์

ร่างทรงจะไม่ สามารถเรียกเทพ เทวดา และวิทยาธรมาได้เอง แต่วิทยาธรจะเป็นผู้เลือกเอง ว่าจะประทับทรงที่ใคร ผู้นั้นมีจิตใจดีงามและมีเมตตาหรือไม่? มีการสั่งสมบุญบารมีมากพอหรือไม่? ร่างทรงประเภทนี้จะไม่เรียกร้องเอาทรัพย์สินใดๆ ไม่เรียกร้องให้ผู้คนมาเชื่อ ไม่มีการอวดอิทธิฤทธิ์บารมี จะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อทำบุญ ไหว้ครู หรือรักษาโรค ตามตำราโบราณ มีการช่วยเหลือผู้ที่ถูกไสยศาสตร์ โดยเน้นไปที่การช่วยเหลือเพื่อสาธารณประโยชน์ ไม่มีการเรียกร้องเอาเงินค่าอะไรทั้งสิ้น (อาจจะมีเพียงค่าครู แต่จำนวนน้อยมาก เช่น 3-29 บาท) ร่างทรงแบบนี้มีอยู่จำนวนน้อยมากๆ ตามที่เราได้แจ้งไว้แล้ว คือ ในประเทศ ไทยมีเพียง 1% เท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ที่มีจิตใจเมตตา อาศัยอยู่ตามชนบท และร่างทรงประเภทนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับมหาเทพ มหาเทวี ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเลยแม้แต่น้อย

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2. โดนผีสาง เข้าสิง แล้วแอบอ้างว่าเป็นการทรงของมหาเทพ มหาเทวี หรือเป็นเทพเจ้าระดับสูง แบบนี้จะพบเห็นได้ประมาณ 10% ตามตำหนักทั่วประเทศ ร่างทรงเหล่านี้เกิดจากการ เล่นของ ทำไสยศาสตร์ บางครั้งตัวคนที่เป็นร่างทรงเอง ก็จะถูกแอบอ้างจากพวกผีสาง มาร หรือวิญญาณที่มาทรงนั่นแหละ มาโกหกว่า ข้านี้คือพระศิวะ...ข้านี้คือพระพรหม...ข้านี้คือพระแม่... ฯลฯ และเจ้าจะต้องเป็นร่างทรงของข้าเพื่อโปรดมนุษย์..(มีทั้งแอบอ้างว่าเป็นเทพ ฮินดู เทพจีน และเทพไทย)

จากนั้นก็จะแสดงบารมี ระดับต่ำ ทำการเล่นของ ทำไสยศาสตร์ ทำสเน่ห์ ทำเสนียด ฯลฯ ซึ่งคนที่เป็นร่างทรงของผีสาง ก็จะเข้าใจผิดว่าตนเองนั้นเป็นร่างทรงของมหาเทพ หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ คิดว่าตนนั้นมีบุญบารมีมาก เกิดความหยิ่งยะโส ยกตนขึ้นข่มผู้อื่น แท้ที่จริงก็คือตนจิตอ่อนเกินไป ไม่มีความเข้มแข็ง ผีสางเลยเข้าสิง เมื่อร่างทรงโดนผีมาหลอก ร่างทรงก็ไปหลอกลวงผู้อื่นต่อเป็นทอดๆ กิเลศเข้าครอบงำก็ไม่รู้จักหยุด บรรดาลูกศิษย์หัวอ่อน จิตอ่อน ก็จะกรูกันเข้าตำหนัก ก็ชักชวนกันทำบาปเข้าไปอีก ผลสุดท้ายก็ลงนรกด้วยกันทั้งหมด... ร่าง ทรงประเภทนี้พราหมณ์หลวงทุกท่านต่อต้านครับ อย่าไปยุ่งเกี่ยวดีที่สุด...

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
3. ไม่มีอะไรทรง ไม่มีอะไรสิง แค่ทำตัวสั่นเฉยๆ
แบบนี้จะพบเห็นได้ประมาณ 90% ตามตำหนักทั่วประเทศ และก็คือร่างทรงประเภทที่พราหมณ์ทุำกฝ่ายกำลัง ต่อต้านเต็มกำลัง นั่นเอง (พราหมณ์คนไหนที่สนับสนุนร่างทรงประเภทที่ 2 และ 3 แสดงว่าเขาผู้นั้นไม่ใช่พราหมณ์ตามบัญญัติของพระศิวะมหาเทพครับ) 

ตำหนักทรงเหล่านี้มีการจัดสถานที่ให้ดูขลัง น่ากลัว ดูน่าเลื่อมใส จุดธูปให้มีกลิ่นตลบอบอวล มีองค์พระพุทธรูป เทวรูป มหาเทพ มหาเทวี เจ้าพ่อ เจ้าแม่ กุมารทอง นางกวัก เศียรปู่ฤาษี อยู่มากมาย มีการจัดหิ้งพระโดยเอาพระพุทธรูปและเทวรูปจากหลายๆศาสนา หลายๆ คติ มาตั้งรวมๆกัน โดยไม่ให้เกียรติ เช่น พระพุทธเจ้า พระแม่กวนอิม กุมารทอง พระศิวะ พระแม่กาลี เสด็จพ่อ ร.5 ก็เอามาตั้งรวมๆกันในหิ้งเดียว แสดงให้เห็นถึงการขาดความรู้ในการจัดหิ้งพระ

มีการถวายหัวหมู เป็ดไก่ สุรา ของคาวต่างๆ แก่เทพเจ้า ซึ่งหากมีความรู้ในการจัดเครื่องถวายจริงๆ ก็จะต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้า มหาเทพ มหาเทวี และฤาษีนั้น ห้ามใช้เครื่องถวายที่เป็นเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด
มีการเชิญเทพมาประทับ นึกจะเรียกให้ท่านมาเมื่อไหร่ก็เรียก ทำตัวสั่นๆ ทำหน้าบูดเบี้ยวอุบาทว์ โวยวายเสียงดัง พูดจาหยาบคาย กูๆ มึงๆ นึกจะให้ออกเมื่อไหร่ก็ออก เมื่อออกจากร่างไปแล้ว นึกจะเรียกกลับมาวันไหนก็เรียกมาอีก มหาเทพไม่ใช่ทาส...ที่จะเรียกให้มาหาเมื่อไหร่เวลาใดก็ได้

ร่างทรงเหล่านี้เป็นผู้ที่แอบอ้างพระนามของมหาเทพ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ฯลฯ แล้วทำการรีดไถ ล่อลวงเอาเงินทองของผู้ศรัทธา บ้างก็ว่าสามารถรักษาโรคได้ บ้างก็ว่าจะช่วยให้พ้นกรรม บ้างก็ว่าโดนของและให้เอาของออก บ้างก็ว่าลูกศิษย์คนนั้นมีองค์พ่อ คนนี้มีองค์แม่ และจะต้องรับขันธ์ หรือเซ่นไหว้ ล้วนแล้วแต่ยกมาอ้างเพื่อให้เสียเงิน บ้างก็ดูดวงให้ส่งเดช ถ้าดูแม่น ทายถูกต้อง ก็จะเกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นไปอีก
ผู้ศรัทธาก็ไปชักชวนญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมเป็นลูกศิษย์ งมงายกันไปทั่วประเทศ เกิดเป็นวงจรอุบาทว์ ร่างทรงประเภทนี้ขอให้หลีกห่างให้มากที่สุด

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การอารตีตามแบบฮินดูโบราณ

ช่วงนี้กำลังสนใจ เรื่องเกี่ยวกับฮินดู ก็เลยคัดลอกพิธี ที่น่าสนใจมา
Credit : Hindumeeting.com : พี่หริทาส


การอารตีนั้น จะเรียกว่าอารตี หรือในทางศาสนพิธีจะเรียกว่า นีราชนมฺ การนีราชนมฺ ถ้าพอจะเทียบกับพิธีพราหมณ์ของฝ่ายไทยคือการเวียนเทียนสมโภช ในตอนท้ายของพิธีนั่นเอง

การอารตี หรือนีราชนมฺ ตามประเพณีฮินดูอาจแบ่งกว้างๆออกได้เป็นสองอย่าง คือ
1.สนฺธยารตี คือการอารตี ที่กระทำในเวลาสนธยา ได้แก่ เวลาเช้า กับพลบค่ำ ทางเทวสถานเทพมณเฑียร ฮินดูสมาช กำหนดให้เป็นเวลา07.00น.และ 19.00น.ของทุกวัน การสนธยาอารตีจะต้องกระทำในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งไป และมักจะกระทำหลังจากการชุมนุมสวดมนตร์หรือการทำสันธโยปัสนา(ภาวนาประจำวัน) ส่วนการกระทำในบ้านเรือนซึ่งมีการประดิษฐานเทวรูปนั้น ได้มีความเห็นออกเป็นสองฝ่าย นักบวชสวามีบางรูปเห็นว่าไม่ควรทำ เพราะบ้านเป็นที่อาศัยของคฤหัสถ์ชนย่อมมีการกระทำบาปเนืองๆ แต่บางท่านเห็นว่าสามารถกระทำได้ แต่โดยทั่วๆไปถ้าหากมีสถานที่บูชาอันเฉพาะเป็นสัดส่วน ก็น่าจะสามารถกระทำได้ไม่ผิดอะไร
2.การอารตี หลังการประกอบพิธี การอารตีประเภทนี้จะกระทำหลังจากการประกอบพิธีบูชาตามวาระโอกาสต่างๆ หรือหลังจากการสวดมนตร์ การชุมนุมสวดมนตร์ หรือการที่อาจารย์พราหมณ์นักบวชได้สวดอ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ปุราณะต่างๆ รามายณะ ภควัทคีตา รามจริตมานัส เป็นต้น หรือการทำอภิเษกสมโภชนักบวช คุรุ สิ่งก่อสร้างต่างๆ หรือการต้อนรับผู้มาเยือน การต้อนรับเจ้าบ่าว นักบวช คุรุ(กระทำเบื้องหน้าผู้ที่เราต้อนรับ) ฯลฯ การอารตีเช่นนี้ วิธีการคล้ายแบบแรก แต่ไม่กำหนดระบุเวลา
อุปกรณ์ในการทำอารตี


1.ตะเกียงอารตี ตะเกียงอารตีมีหลายรูปแบบ แต่ตามประเพณีดั่งเดิมใช้ถาด รองด้วยข้าวสาร ใบพลูหรือกลีบดอกไม้ หรือผงกำยานหรือกำยานเปียก(เพื่อไม่ให้ถาดใหม้)วางด้วยการบูรแท่งหรือก้อน ตะเกียงนี้เรียกว่า กรฺปูรฺอารตี จุดไฟที่การบูร อันนี้เป็นแบบโบราณประเพณี ถือว่าไฟจากการบูรเป็นไฟสะอาด มีกลิ่นหอม
ประเภทอื่นๆ คือใช้ตะเกียงที่มีหลุมจำนวนที่นิยมคือ 5 หลุม ใช้สำลีปั้นก้อน ใช้เนยเหลว(ฆี)เป็นเชื้อเพลิง บางที ก็ใช้ 9 หลุม หรือมากกว่านั้น หรือใช้ชนิดหลุมเดียวก็ได้ หรือนำประทีบ 1 ดวงใส่ถาดก็ได้
2.ปัญจปาตร หรือถาด ไว้รองรับตะเกียงเมื่ออารตีเสร็จแล้ว
3.ภาชนะใส่น้ำพร้อมช้อน หรือสังข์ที่ใช้บรรจุน้ำได้
4.ธูป ตามคติฮินดูใช้ 5 ดอก (เหมือนจำนวนประทีป) เพราะเลขห้า หมายถึง ธาตุ5
ตามคติฮินดู (ไฟ(อัคนิ) น้ำ(อาโป) ลม(วาโย) ดิน(ปฤถิวี) อวกาศ)
5.ดอกไม้ มีหรือไม่ก็ได้
6.ระฆัง (ฆันฏา) ชนิดถือสั่นได้สะดวก

วิธีการทำอารตี

1.ก่อนทำให้อาบน้ำ สนานกาย เข้ามายังห้องพิธี เทน้ำจากช้อนเล็กน้อยในอุ้งมือขวา แล้วจิบน้ำจากโคนข้อมือขวา 3 ครั้ง เรียกว่าการอาจมานํ(เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ การอาจมานํนี้ กระทำก่อนการทำพิธีต่างๆรวมทั้งการสวดมนตร์ละภาวนา)
ครั้งที่ 1 สวดว่า โอมฺ เกศวาย นมะ(จิบ)
ครั้งที่ 2 สวดว่า โอมฺ นารายณาย นมะ(จิบ)
ครั้ง ที่ 3 สวดว่า โอมฺ มาธวาย นมะ(จิบ)
จากนั้นรินน้ำเล็กน้อยล้างมือ สวดว่า โอมฺ หฺฤษีเกศาย นมะ
2.สวดมนตร์เลือกบทที่ชอบหรือสวดเป็นประจำ หรือบทที่บูชาพระอันประดิษฐาน ณ ที่นั้น ต่อหน้าที่บูชา
3.เป่าสังข์ สามครั้ง(ถ้ามี ไม่มีไม่เป็นไร เพราะไม่จำเป็นเท่าใดนัก)
4.จุดธูปขึ้น เริ่มการอารตี โดยสั่นกระดิ่งในมือซ้าย มือขวาถือธูปวนไปรอบๆ เทวรูปตามเข็มนาฬิกา เริ่มที่พระคเณศก่อน(ถ้ามี) จากนั้นองค์ที่เป็นประธาน จนครบทุกองค์ องค์ละสามรอบ ปักธุปไว้ในที่บูชา ขณะถวายธูปสวดว่า(มนตร์ของเทพองค์นั้นตามด้วย - ธูปํ สมรปยามิ)
5.จุดตะ เกียงอารตี เริ่มจากพระคเณศก่อนเช่นกัน ในคัมภีร์นิตยฏรมฺบอกว่า การอารตีให้เริ่มจากที่พระบาท วนสามรอบ ที่พระอุระ วนสามรอบ ที่พระพักตร์ วนสามรอบ ทั้งพระองค์สามรอบ หรือจะ วนที่องค์พระองค์ละ 9 รอบก็ได้ จนครบทุกองค์ ระหว่างนี้จะสวดบท(กรฺปูรเคารํ กรุณาวตารํ ฯลฯ ก็ได้) หรือจะสวด ว่า ตามด้วย - นีราชนํ ทรฺศยามิ หรือ การปูร อารตีกยํ ทรฺศยามิ สมรปยามิ
6.เมื่อวนจนครบแล้ว ให้วางลงในภาชนะ ถาดรองรับ นำสังข์หรือช้อนที่มีน้ำวนสามรอบ รอบๆตะเกียงนั้น แล้วรินน้ำนิดนึงทุกรอบจนครบสาม สวดมนตร์ถวาย ว่า(มนตร์ประจำองค์)-ตามด้วย - มงฺคลอารติกยํ สมรปยามิ ใช้มือขวาโบกควันศักดิ์สิทธิ์เหนือไฟเบา เข้าถวายองค์เทพ สามครั้ง
7.จากนั้นจึงค่อย เอามือทั้งสองโบกควันไฟศักดิ์สิทธิ์ เข้าสู่ตัวเอง โดยโบกเหนือไฟ แล้วแตะที่ใบหน้า ดวงตาหรือหน้าผาก เป็นพรที่พระเป็นเจ้าประทานให้
8.ถือ ดอกไม้(ถ้ามี)หรือพนมมือ กล่าวสวดมนตร์ หากสวดสันสกฤตไม่ได้ ให้อธิษฐานในภาษาไทย สวดขอพรความสวัสดี และขอให้พระเป็นเจ้าอภัยในโทษานุโทษต่างๆที่เรากระทำเรียกว่า การกษมารปณํ
แล้ว สวดขอขมาที่อาจทำพิธีพลั้งพลาด ขออัญเชิญท่านกลับ ให้มีแต่ความสวัสดีต่างๆ เรียกว่า การวิสรจนํ
9.จากนั้นก้มกราบสามครั้ง หรือกราบอัษฎางคประดิษฐ์
10.สวดแผ่เมตตาแด่ สรรพสัตว์ สวดว่า
โอมฺ สรฺเว ภวนฺตุ สุขินะ
สรฺเว สํตุ นิรามยาะ
สรเว ภทฺรานิ ปศฺยนฺตุ
มา กศฺจิทฺ ทุขะภาคฺภเวตฺ
โอ มฺ ศานติะ ศานติะ ศานติะ.
หรืออธิฐานในภาษาไทยถึงความหมายของมนตร์นี้ ว่า
โอม สิ่งทั้งปวงจงเป็นสุข สิ่งทั้งปวงจงปราศจากทุกข์ สิ่งทั้งปวงจงพบแต่ความดีงาม ขออย่ามีส่วนแห่งทุกข์เลย โอม ศานติ ศานติ ศานติ
เป็นอันเสร็จการอารตี

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภควัทคีตา - ท่วงทำนองลีลาแห่งพระ ผู้เป็นเจ้า

-->
ศรีมัทภควัทคีตาหรือภควัทคีตานั้น เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญอันแทรกอยู่ในมหากาพย์มหาภารตะ บรรพที่ 6 (ภีษม บรรพ - Bhisma Parva) อันเป็นบทสนทนาตอบโต้ปัญหา อภิธรรมระหว่าง อรชุน (Arjuna - अर्जुन) เจ้าชายองค์ที่ 3 ของตระกูลปาณฑวะ (ปาณฑพ) กับพระกฤษณะ (Krishna - कृष्ण)
ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาการเริ่มต้นการทำสงครามแย่ง ชิงความชอบธรรม เหนือแผ่นดินหัสตินาปุระ ณ ทุ่งกุรุเกษตร เมื่อกองทัพฝ่ายปาณฑวะของอรชุนเคลื่อนพลมาประจันหน้ากับกองทัพฝ่ายโกรวะ (เการพ - कौरव - Kaurava) ขององค์ทุรโยธน์ซึ่งถือได้ว่าเป็นพี่น้องร่วมวงศ์ (จันทรวงศ์) เดียวกัน
ณ เวลานั้นเองอรชุนเกิดความท้อใจไม่ทำสงคราม เนื่องจากต้องมาทำสงครามสังหารเหล่าคณาญาติของตน จึงไม่มีจิตใจที่จะทำการต่อสู้ในสงครามครั้งนี้จนถึงกระทั้งยอมวางอาวุธใน มือลงและพร้อมยอมโดนฝ่ายเการพสังหารโดยจะไม่ยอมตอบโต้


ความทดท้อใจในครั้งนี้ของอรชุนผู้ทนงตนว่ามีฝีมือเก่งกาจใน การทำสงครามและมี ภูมิปัญญาทางพระเวทดีเยี่ยม ต้องถึงกับหันไปขอคำปรึกษากับพระกฤษณะผู้มาทำหน้าที่เป็นสารถี เกี่ยวกับเรื่องทางโลกและทางธรรมที่ตนนั้นไม่สามารถแยกแยะออกจากกันได้ใน เวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง
พระกฤษณะจึงได้ไขปริศนาทำลายความเข้าใจผิดๆ ทางความรู้ในพระเวทของอรชุนให้สิ้นไป ถ้อยความการสนทนาตอบโต้ระหว่างพระกฤษณะกับอรชุนนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นยอดแห่งพระเวทและอุปนิษัทเลยก็ว่าได้ เพื่อให้เข้าในในแก่นแท้ของธรรมว่าเป็นเช่นไร
การสนทนาตอบโต้ระหว่างอรชุนกับพระกฤษณะนี้ ก็เปรียบเหมือนจิตใจของมนุษย์เราซึ่งมีทั้งความดีความชั่วรวมอยู่ในร่าง เดียวกัน บางครั้งคนเรานั้นจำต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เรานั้นก็มักจะตัดสินใจไม่ได้ระหว่างเส้นแบ่งดีและชั่ว เพราะต้องยอมรับว่าโลกเรานั้นเป็นทวิธรรม ไม่มีอะไรเลวไปทุกเรื่องและไม่มีอะไรดีไปทุกเรื่อง ดีและเลวนั้นจะผสมอยู่ในร่างเดียวกัน จนทำให้เกิดความทุกข์ ดั่งมีคน 2 คนที่ถกเถียงอยู่ในร่างเดียวกัน เพียงแต่เราจะเลือกดีหรือชั่วนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมสูงสุดได้ อย่างไรเท่านั้นเอง
จิตทั้ง 2 นั้นจะต่างยกเหตุยกผลมา โต้แย้งกันอยู่เสมอ ตรงนี้เองจึงทำให้เกิดทุกข์ เพราะ เรื่องใดที่แก้ได้ตัดสินใจได้ย่อมไม่เป็นทุกข์ เรื่องใดที่รู้แล้วยอมรับแล้วว่าแก้ไม่ได้จริงๆ ก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเรื่องใดนั้นยังอยู่ตรงที่จะแก้ได้หรือแก้ไม่ได้นั่นสิที่ทำให้เรา เกิดความทุกข์
เฉกเช่นดั่งอรชุนผู้คิดว่าตนนั้นเป็นผู้ที่มีความรู้แตกฉาน ในทางพระเวท หรือตัวของท่านทั้งหลายเองที่คิดว่าข้ารู้ ข้าเก่ง แต่พอเข้าสู่ช่วงเวลาที่คับขันจริงกลับนำความรู้ที่คิดว่าตนเข้าใจดีแล้วมา ใช้ไม่ได้อย่างถูกต้อง นั่นเป็นเพราะจิตของเขาไม่รู้จริง ไม่มีพุทธิปัญญาไชชอนให้กระจ่าง
พระกฤษณะจึงเปรียบได้ดั่งพุทธิปัญญา ที่มาทำลายความรู้ที่ผิดๆ ในพระเวทของอรชุนทิ้งเสีย แล้วสถาปนาความรู้ที่จริงแท้ อันเป็นหัวใจแก่นแท้ของพระเวทแก่อรชุนเสียใหม่ เมื่ออรชุนเกิดแสงสว่างดวงใหม่ที่บริสุทธิ์ในปัญญาแล้ว เขาจึงได้กลับมาหยิบอาวุธขึ้นต่อสู้อีกครั้งด้วยปัญญาและกองทัพแห่งธรรม จนในที่สุดก็ได้ชัยชนะกลับมาอย่างสมบูรณ์ทั้งทางกายและใจ
Credit : กาลปุตรา [hindumetting.com] 

------------------------------------
มนุษย์เราเอง มีสิ่งที่เรียกว่าความคิดทางดี ทางร้าย อยู่ในตัวคนเดียวกันเสมอ
หากเปรียบความรู้สึกมนุษย์กับเหตุการณ์ บ้านเมืองเขาเราในตอนนี้ (19 พฤษภาคม 2553)
บ้านเมืองถูกเผา ผู้คนมีความคิดแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย

เอาเรื่อง 19 พฤษภาคม 2553 ก่อน
บางคนพยายามโยงเรื่องของ 17-19 พฤษภาคม 2535 มาเกี่ยวข้อง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อบอก(เสมือน)ว่า ตัวเองเป็นพระเอกของเหตุการณ์ แต่คงไม่พูดตรงๆหรอก
ทั้ง 2 เหตุการณ์ ไม่เกี่ยวข้องต่อกัน ทั้งเหตุการณ์ สาเหตุ รูปแบบ
ปี 35 เป็นการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ ไม่มีแอบแฝง

กลับมาเรื่อง ภควัทคีตา
คนบางส่วน ที่มีความรู้สึกชอบความรุนแรง รวมถึงพวก ผสมโรง ได้ระบายออก ก็จะเข้าร่วมกัน ทำลายข้าวของ รวมถึงการปล้นร้านค้า ขโมยของ - นั่นเป็นการแสดงตัว อย่างชัดเจนว่าได้ประโยชน์จากความวุ่นวาย
บางส่วน ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง อยากใช้ชีวิตปกติ บ้างก็อยู่ในบ้าน อดอยาก หิวโหย ไปหาอะไรกินก็ไม่ได้ จนเป็นความกดดัน คับแค้น
อาจจะระเบิดออก ด้วยการลั่นกระสุน ใส่ผู้คนที่ก่อความวุ่นวาย
ภาพรวมเลยกลายเป็นความรุนแรงที่มากขึ้น


การตัดสินใจที่ล่าช้า ทำให้ผู้คนตายมากกว่าที่ควรจะเป็น
การตัดสินใจที่ ล่าช้า ทำให้ผู้คนแตกแยกกันมากขึ้น
การตัดสินใจที่ล่าช้า ทำให้เีราสูญเสียวัตถุ โครงสร้างของสถานที่ต่างๆ มากเหลือเกิน 
 อรชุน ! หากเจ้าตัดสินใจในการรบ โดยการรบอย่า่งเด็ดขาดเสียตั้งแต่แรก
ไพร่พล ทหาร ความเสียใจ คงไม่มีมากมายขนาดนี้
จงตัดสินใจ ต่อสู้กับความอยุติธรรม ก่อนที่เจ้าจะสูญเสียมากไปกว่านี้

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เพลง ของตูเช่ - พราย

คัดลอกจาก Pryfriend.com

เพลงแต่งขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อปลุกปลอบเพื่อนพราย..เพื่อนของเราคนนึง...ตูเช่

เพลง ของตูเช่
ฉันรู้...ว่าบางครั้ง  โลกใบนี้มันไม่น่าอยู่
ฉันรู้...ว่าบางครั้ง  ผู้คนก็ช่างโหดร้าย
เธอรู้ไหม  เหมือนหลายครั้ง  หัวใจมันอยากหยุด
หยุดรับรู้  เรื่องราวในชีวิต  ที่ยากเข้าใจ
ฉันรู้...ว่าบางครั้ง  โลกใบนี้มันไม่น่าอยู่
ฉันรู้...ว่าบางครั้ง  ผู้คนก็ช่างโหดร้าย
แต่เข้าใจไหม  ฉันขอวอนให้เธอกลับ
กลับมารับว่ามีรัก.. ว่ามีความรัก
รอเธออยู่ คอยอยู่ตรงนี้ รอเธอมีพลัง รอด้วยความหวัง
รอเธออยู่ คอยอยู่ตรงนี้ รอเธอมีพลัง รอด้วยความหวัง
..ของเรา ที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ให้สวยงาม
และวันนี้เธอต้องฝ่าฟัน  ด้วยศรัทธาที่จะกลับมา
แม้เธอกางปีกบินไป...ในฝัน แล้วเธอพร่ำเพ้อ...หรือเธอลืมมัน
ขอเธอจงโปรด...คิดถึง...วันนั้น วันที่ความฝันยังล่องลอย  รอคอย
รอเธออยู่ คอยอยู่ตรงนี้ รอเธอมีพลัง รอด้วยความหวัง
รอเธออยู่ คอยอยู่ตรงนี้ รอเธอมีพลัง รอด้วยความหวัง
ฉันรู้...แม้บางครั้ง...โลกใบนี้มันไม่น่าอยู่  
ฉันรู้ว่าเธอต้องกลับมา