ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นัดเปิดสนาม Liverpool 2014-2015 กับหนุ่มน้อย J. Manquillo

ไม่ค่อยได้เขียนถึงทีมรักสักเท่าไร เพราะว่า ไม่ใช่กูรู หรือ ผู้เชี่ยวชาญเชิงลึกสักเท่าไร กับฟุตบอล English Premier League
ก็เพราะว่า ทีมรักยังไม่ได้แชมป์ League สูงสุดสักที
แม้จะรอมานานนับสิบปี แต่ก็มีความหวัง และ กำลังใจที่จะลุ้นอยู่เสมอ



Liverpool ฤดูกาล 2014-2015 มีการเสริมทัพอย่างมากมาย
ด้วยความหวังว่า อันดับจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
แต่สิ่งสำคัญคือการเสีย Luis Suarez แม้จะได้เงินมามหาศาล
แต่ผู้เล่นที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนเกมนั้น หาไม่ได้ง่ายๆ


มาว่ากันที่หนุ่มน้อย ที่อยากจะพูดถึง พ่อหนุ่มคนนี้ชื่อว่า "Javier Manquillo Gait'an"
หรือเรียกง่ายๆ "มานควิญโญ่" หรือ อาจจะเรียก "มาโย่!" ก็แล้วแต่สะดวกกัน



แวบแรกที่เห็น(เพียง 2 แมทช์ : 1 อุ่นเครื่อง + 1 ทางการ) ทรงบอล การจับ สไตล์การเล่นทำให้ผมนึกถึงพ่อหนุ่มขวัญใจผมอีกคนหนึ่งที่ชื่อ "Vegard Heggem"



ลองมาเทียบๆกันดูหน่อย ว่า 2 หนุ่ม 2 ยุคสมัยต่างกันที่ภายนอกอย่างไร
วัน-เดือน-ปี เกิด ** Manquillo : 05 May 1994 / Haggem : 13 July 1975
ชาติ ** Manquillo : Spain / Haggem : Norway
สูง ** Manquillo : 180 Cm / Haggem : 179 Cm.

หนุ่มน้อย Manquillo เปิดตัวในแมทช์อย่างเป็นทางการ 17 สิงหาคม 2014 ในการเจอกับ Southamton การเล่นใน Premier League นัดนี้ เป็นการเรียนรู้จริงๆ ว่า ฟุตบอลอังกฤษนั้น เล่นอยางไร ภาพรวมของ แมทช์นี้ ถือว่า ผ่าน

ช่วง 45 นาทีแรก หนุ่มน้อย Manquillo เจอกับการเล่นไสตล์อังกฤษที่เร็ว แรง
เจอการปะทะหนักๆ การครองบอลที่เผลอ หรือ ช้าไม่ได้ ผมคิดว่า หนุ่มน้อย Manquillo คงไม่คุ้นเคยเป็นแน่ เพราะดูจากการเก็บบอล บังบอล หรือ จ่ายบอลไปข้างหน้า ยังเหมือนไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร
นอกจากการลื่นในสนาม 1 ครั้งในช่วง 45 นาทีแรก
และการโดน 1 ใบเหลือง จากการเข้าปะทะช้าไปนิดเดียว


ผ่าน 45 นาทีแรกไป หนุ่มน้อย Manquillo ก็พอปรับตัวได้ดีขึ้น รู้ทางบอลอังกฤษมากขึ้น
การขึ้นเติมเกม ทำได้ถือว่า สอบผ่าน
การลงมาช่วยในเกมรับ อาจจะไม่ทันจังหวะบอลบ้าง
แต่ดูแล้ว มีอนาคต ถ้าไม่เจออาการบาดเจ็บเล่นงานแบบที่ Vegard Heggem เคยเป็น

นี่อาจจะเป็น Right Back ที่น่าจะมีอนาคต
ที่ต้นทุนไม่สูง (มาจากการยืมตัว และข้อเสนอซื้อเข้าทีมที่ 5 ล้านปอนด์)

เอาใจช่วย ทั้งหนุ่มน้อย Manquillo และ Liverpool เสมอครับ
จะว่าไป ก็คิดถึง Vegard Heggem เหมือนกัน คงต้องไปหาดูภาพการแข่งเก่าๆดูซะหน่อยละ


วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สรุปสาระ(ที่คิดว่า)สำคัญ – อยากยิ่งใหญ่ต้องใจหิน

สรุปสาระสำคัญ อยากยิ่งใหญ่ต้องใจหิน

บทที่ 1 # ปรัชญาของความใจหิน
ผู้ที่มีอำนาจต่างจากคนทั่วไปตรงไหน



ดังนั้นไม่ว่าเจอกับสถานการณ์อย่างไร ถ้าสงบสติอารมณ์ได้แล้วตัดสินใจทำอย่างรวดเร็ว เงินเพียง 10 เยนก็สามารถชนะได้ แต่สำหรับคนที่รวบรวมสติไม่ได้ มัวแต่สับสนลังเล สุดท้าย 10 เยนนั้นก็สูญไปโดยเปล่าประโยชน์

ก่อนอื่นต้องตั้งสติ แล้วปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบ

ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความรวดเร็วว่องไวเป็นคุณสมบัติประจำตัว

สำหรับคนที่ไม่ชอบพบอุปสรรค ขยาดการประชุมเพื่อแก้ปัญหา มีงานค้างอยู่ตรงหน้าก็ไม่อยากทำงานล่วงเวลาให้เสร็จ ถ้าคิดได้เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องหวังว่าจะทำอะไรอย่างอื่นให้เสร็จได้อีก
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องลงมือทำอย่างรวดเร็ว ไม่สับสน และมีประสิทธิภาพ

ผู้ที่คิดจะมีอำนาจต้องเป็นผู้ที่มีมารยาทและสุภาพด้วย

คนที่สุภาพที่สุด จริงๆ แล้วอาจจะเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดก็ได้ !

ผู้ที่มีอำนาจต้องเป็นคนสุภาพ อย่างน้อยก็ต้องแสดงออกมาให้เห็น ส่วนข้างในจิตใจจะเป็นอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

คนเราไม่ว่าจะทำงานอะไร หรือมีหน้าที่อะไร ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ถ้าไม่สามารถมองคู่แข่งออกก็จะมีโอกาสพ่ายแพ้สูง

การมองคนออก เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนเอง เพราะตาเป็นของตนเอง ใช้ตานั้นแหละมองคนที่เพิ่งเจอกันโดยบังเอิญให้ออก

ถ้าไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็ยากที่จะจับการโกงหรือคำโกหกของฝ่ายตรงข้ามได้

การจะทำให้ผลงานออกมาดีต้องมีความตั้งใจ !

เมื่อมีความตั้งใจที่แน่วแน่แล้วไม่ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางอย่างไรก็จะรีบกำจัดมันทิ้งไปโดยเร็ว นี่จึงจะเป็น การตัดสินใจของคนแกร่ง

ต้องสำรวจตัวเองว่ามีอะไรบ้างในตัวเราที่พิเศษกว่าคนอื่น และมีทางที่จะทำให้มันกลายเป็นเงินได้ไหม

ถ้าไม่เห็นค่าของเงิน เงินก็ไม่อยู่กับเรา

ผู้มีอำนาจต้องไม่หักหลังใคร

ผู้มีอำนาจมักจะไม่นิยม การติดหนี้

การเป็นหนี้บุญคุณ ก็เหมือนกับการมีภาระผูกพันที่ต้องคืนเขาอยู่ร่ำไป

คนที่มีความสามารถใช้เพียงสายตาก็ข่มขู่ผู้คนได้

การเป็นหนี้บุญคุณใครสักคนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าต้องตกเป็นเบี้ยล่างของเขาไปด้วย

ผู้ที่มีกองทัพที่ดี หากบังคับกองทัพไม่ได้ รบไปก็มีแต่แพ้

ในยุคสงคราม ผุ้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดจะต้องอยู่หลังสุดเสมอ แน่นอนที่สุด เพราะหากตัวหัวหน้าตายก็เท่ากับว่าแพ้ หัวหน้าต้องอยู่ในตำแหน่งที่ลูกธนูไปไม่ถึง และถ้าคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ได้จะได้หนีได้ทัน ดังนั้นคำว่าขี้ขลาดจึงเป็นคำพูดที่ใช้ในยามสงครามอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามถ้าแม่ทัพยังอยู่ภายหลังยังสามารถกลับมาล้างแค้นได้

การจะวัดคนว่าเก่งแค่ไหน ไม่ใช่แค่ดูจากผลงานของคนคนนั้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องดูไปถึงการ สร้างคนของตน ขึ้นมาด้วย

คนเราต้องรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ควรที่จะอยู่เบื้องหลัง

การจะเป็นผู้มีอำนาจไปตลอดได้จะต้องไม่ยุ่งกับงานที่สกปรก

รูปลักษณ์ภายนอกมักหลอกลวงอยู่เสมอ

ผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้น มักจะสามารถสร้างภาพลวงหรือการแสดงออกทางสีหน้าเพื่อกลบเกลื่อนตัวตนของตนเองได้อย่างแนบเนียน

ถ้าอยากประสบความสำเร็จเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ล่ะก็ เราก็ต้องทำตัวเป็นผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา เพื่อที่จะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพียงแต่ทำให้ใครๆ ก้อยากเป็นเพื่อนเราเท่านั้น แม้แต่ผู้มีอำนาจก็อยากเป็นเพื่อนเราด้วยเหมือนกัน

ผู้ยิ่งใหญ่มักจะให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มไฟแรงอยู่เสมอ

ไม่ต้องสนใจว่าเรามีอาชีพอะไรหรือจบการศึกษาอะไรมา ขอเพียงมีความคิดดีๆ แวบขึ้นมาเท่านั้น นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภายหลัง


บทที่ 2 # การแสดงออกของผู้ประสบความสำเร็จ
ไร้ความรู้สึก เย็นชา และกล้าหาญ



มนุษย์ผู้ชายเกิดมาก็เพื่อแสดงออกถึงพละกำลังของตน อยากจะเอาชนะคู่แข่งให้ได้ ดังนั้นภายในสมองก็เลยมีแต่ การพยายามเพิ่มความสามารถ ของตนอยู่ตลอดเวลา

จะว่าไปแล้วสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ของผู้ชายไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ยุคโบราณมาแล้ว เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า คนเราก็มีวันพ่ายแพ้ได้แต่ก็ไม่มีใครอยากที่จะเป็นผู้แพ้

คนที่สามารถรอดพ้นจากความโชคร้ายมาได้แถมยังเชิดหน้าได้อีก คนแบบนี้ถึงจะเรียกว่าได้รับชัยชนะจนประสบความสำเร็จ

คนเราจะคอยแต่พึ่งคนอื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ต้องใช้ความสามารถและความคิดของตนจัดการให้ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องต้องมั่นใจในความสามารถของตน เมื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ได้อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็น ผู้ประสบความสำเร็จ

เมื่อตนเองเข้าใจงานของตนอย่างทะลุปรุโปร่ง ย่อมสามารถผ่านอุปสรรคไปได้ไม่ยาก

และถ้ามีอะไรเข้ามาขัดขวางหรือทำให้เกิดความรำคาญ ก็ต้องรีบกำจัดให้พ้นทางไปโดยเร็ว !

ต้องตั้งใจเอาไว้ว่า วันนี้ของปีหน้าเราจะต้องไม่อยู่ในสภาพนี้อีก

สิ่งที่มนุษย์ไม่อาจจะตัดขาดได้ก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่ไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรง่ายๆ ได้ลงคอ และยิ่งถ้าต้องตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมากด้วยล่ะก็ จะทำให้คนคนนั้นกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขไปเลย

ดังนั้นเหนือสิ่งอื่นใด จะต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดขวางความสำเร็จของตัวเอง

ถ้าอยากจะเป็น ผู้ประสบความสำเร็จ ก็ต้องเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ นี้ก่อน

การที่จะประสบความสำเร็จ ต้องมองสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในมุมกว้าง

การพูดบ่นอย่างไร้จุดหมาย ไม่สามารถทำให้ความฝันนั้นๆ เป็นจริงขึ้นมาได้ ถ้าอยากจะบินให้ได้เหมือนนกบนท้องฟ้าก็ต้องเริ่มวางแผนการสำหรับปัจจุบันและอนาคตอย่างเป็นรูปธรรมก่อน

อย่างที่เรียกกันว่าต้องใช้ตาแบบนกมองรอบตัว เพื่อวางแผนการพัฒนาตนเองสู่อนาคต หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า “big picture” ถ้าเราไม่สามารถวาด แผนการขนาดใหญ่ได้ก็จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้ยาก

คนที่รู้จักฉกฉวยโอกาส ย่อมไม่ปล่อยโอกาสดีๆ ให้หลุดมือไป
คนที่มี แผนการขนาดใหญ่กลับมองถึงโอกาสที่อาจเปลี่ยนไป โดยค่อยๆ ใช้ความพยายามทำให้โอกาสมีมากขึ้น จากนั้น ผู้ประสบความสำเร็จก็จะอาศัยการวางแผนที่เหมาะสมและถูกจังหวะลงมือ

แผนการดี ๆ ที่ลงมือทำได้เลยทันที ดีกว่าแผนการสมบูรณ์แบบที่จะลงมือในอาทิตย์หน้า

เมื่อตัดสินใจแล้วจะต้องไม่หันหลังกลับไปอีก จะต้องไม่ยึดติดอยู่กับพันธนาการเล็ก ๆ ต่าง ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตามต้องมีการคัดเลือกและลงมือทำอย่างรวดเร็ว เมื่อตัดสินใจแล้วไม่ลงมือทันทีก็ไม่มีความหมายใด ๆ

ผู้ประสบความสำเร็จ จะมีความสามารถพิเศษในการทำให้โอกาสเข้ามาอยู่ในมือ และเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ตบมือแค่สองสามครั้งก็เริ่มลงมือได้เลย ทั้งนี้ต้องซื่อสัตย์ต่อความทะเยอทะยานของตนเองแล้วค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปสู่จุดหมาย

ประโยคที่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้ามักจะใช้กับการหาลูกค้าใหม่ ๆ ส่วนประโยคที่ว่า ลูกค้าคือปีศาจจะเป็นวิธีจัดการรักษาลูกค้าเอาไว้ พูดอีกอย่างก็คือ การรักษาลูกค้าเอาไว้เป็นสิ่งสำคัญกว่าอย่างอื่น

สำหรับผู้บริหารมืออาชีพแล้ว เขาย่อมมีวิธีการปฏิเสธความต้องการของลูกค้าอย่างไม่มีเยื่อใยเลยทีเดียว

ความสำเร็จนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับ การตัดสินใจที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญและกล้าลงมือด้วย

การตัดสินใจไม่ได้มีผลต่อโอกาสที่จะสำเร็จ แต่การคาดการณ์ความเสี่ยงได้ถูกต้องต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์

กล่าวกันว่าคนที่กำลังโกหกมักจะไม่กล้าประสานสายตา แต่ถ้าเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมจัดที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ขณะที่โกหกสายตาก็ยังนิ่งเฉย

ดังนั้นถ้าจิตใจมีแต่เรื่องร้าย ๆ การจะสลัดความทุกข์ร้อนหรือความห่อเหี่ยวให้ออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ต้องสร้างภาพอยู่เสมอว่าสามารถพาตนเองกระโดดข้ามกำแพงสูงที่ขวางกั้นอยู่ได้

สิ่งที่อยากให้จำไว้ก็คือ ในตอนนั้นต้องไม่คิดถึงจุดอ่อนของตนเอง แทนที่จะคิดว่าตนเองไม่เคยเอาชนะในจุดนี้ได้ ก็ให้คิดถึงจุดแข็งของตนเอง และดูว่าจะสามารถเอาชนะจุดนั้นได้อย่างไร นั่นคือการสร้างภาพที่จะทำให้เอาชนะในโลกแห่งความเป็นจริงได้

ถึงแม้จะเป็นการมองโลกเข้าข้างตนเองเกินไป แต่การสร้างภาพดี ๆ ในจิตใจก็จะเป็นผลดีต่อพลังในการแข่งขันในอนาคต

ต้องเข้าใจจุดที่เป็นปัญหา ต้องเข้าใจมุมมองของลูกค้า และต้องเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
การเข้าใจจุดที่เป็นปัญหาถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยใช้ความละเอียดอ่อนเข้าช่วย การเข้าใจมุมมองของลูกค้า คือการทำอารมณ์ของตนเองให้เย็นลงแล้วฟังอีกฝ่ายบ้าง การเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดก็คือ ต้องมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าขั้นตอนต่าง ๆ อยู่ที่จุดไหนแล้ว เพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีการตอบสนองอย่างไร

ผู้ที่ประสบความสำเร็จสามารถมองสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าได้หลายมุมมอง

คนเราก็ต้องประสบกับอุปสรรคด้วยกันทั้งนั้น จุดสำคัญอยู่ที่ในตอนนั้นเราจัดการรับมือกับมันอย่างไร

เวลาทหารตั้งกองทัพจะต้องให้อยู่ต้นลม และคอยเวลาที่ลมจะพัดลงไป แต่หากลมยังสงบนิ่งอยู่ แทนที่จะคอยอยู่เฉย ๆ จงอย่าปล่อยให้เวลาสูญเปล่า พยายามศึกษาภูมิประเทศที่ตั้งทัพอยู่ให้ถ่องแท้เป็นการฆ่าเวลา

การวัดความสำเร็จของตนเอง ต้องยึดความสามารถพิเศษที่ตนมีอยู่เปรียบเทียบกับในวงการที่ตนอยู่เป็นหลัก


บทที่ 3 # กรณีศึกษาของผู้ประสบความสำเร็จ
เป็นเพื่อนสนิทกับความโดดเดี่ยว เพื่อที่จะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ตลอดรอดฝั่ง



ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญอย่างนั้นหรือ

น่าสรรเสริญหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะคิดเรื่องของตนเองเป็นอันดับหนึ่ง

เขาจะคิดอยู่แต่เพียงว่า สุดท้ายตัวเองเท่านั้นที่จะต้องอยู่รอด คนสุดท้ายที่เขาจะไว้ใจได้ก็คือตัวของตนเอง

มนุษย์ทุกคนในยามปกติมักมีชีวิตอยู่กับกฎระเบียบ และผูกพันอยู่กับมันจนวันตาย แต่เมื่ออยู่ในภาวะคับขัน ตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ต่างคนต่างพยายามตะเกียกตะกายหนีจากสภาวะเลวร้ายนั้นให้ได้

คนที่สามารถเลือกตัดสินใจในการดำเนินชีวิตด้วยตนเองได้ ก็นับเป็นสิ่งที่ดีที่ไม่ต้องไปทนกับสภาพเหล่านั้น เพื่อความสำเร็จแล้ว จะให้ใครมาคอยบงการอยู่ข้างหลังไม่ได้

ชะตากรรมของชีวิตเรา เราเองเป็นผู้กำหนด คนที่สามารถแผ้วถางเส้นทางเดินของตัวเองได้ย่อมไม่มัวแต่มานั่งรอคอยสังคมในอุดมคติ และมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับความเห็นของมนุษย์คนใดทั้งสิ้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จรู้ดีว่าการมีความกรุณาอย่างอ่อนหัดจะให้ผลร้ายตอบสนองกลับมาอย่างไร

คนที่มัวแต่วิตกกังวลกับเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ จนไม่อาจตัดสินใจ คนประเภทนี้ยากที่จะประสบผลสำเร็จ

เรื่องของตนเองยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าสิ่งไหนสำคัญสิ่งไหนไม่สำคัญ พวกเขาไม่มีวันที่จะนำหน้าคนอื่นได้อย่างแน่นอน

มนุษย์เราโดยทั่วไปตัดสินกันด้วยสายตา

ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก่อนอื่นจะดูที่รูปลักษณ์ภายนอก จากนั้นถึงดูลึกเข้าไปในเนื้อหา

เมื่อออกโรงก็ต้องให้งดงาม ยิ่งเมื่ออยู่บนแท่นพูด ก็ยิ่งต้องทำให้ดูเชี่ยวชาญ

หากบางครั้งต้องพูดเรื่องที่เกินความจริงไปหน่อย ก็ต้องพูดเฉพาะสิ่งที่ตนเองเท่านั้นที่รู้เรื่องดี หรือเรื่องที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่ได้ไปประสบพบเห็นมาจริง ๆ

เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งที่ถือเป็นความสุดยอดก็คือ ต้องออกไปเผชิญหน้ากับผู้คน

คนที่เคยผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมาได้มักจะกลายเป็นคนที่มีความร้ายกาจเพิ่มขึ้น ความร้ายกาจอันนั้นทำให้คนเรามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น

ไม่ว่าจะนักการเมืองหรือนักกีฬาต่างก็ชอบที่จะได้รับ การจดจำมากกว่า การจดบันทึกซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถที่แสดงออกมานั่นเอง

เกิดเป็นผู้ชายแล้ว คงอยากจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้รับการยกย่อง และได้ออกไปยืนอยู่บนเวทีใหญ่
คนโกงแม้ทำงานร่วมมือกันก็เป็นไปอย่างแกน ๆ ทำงานร่วมกับคนโกงก็เหมือนทำงานอยู่กับฝ่ายตรงข้ามย่อมมีผลเสีย

ถ้าไม่มั่นใจในงานใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเหมือนงานเก่ากับที่เก่าละก็ ต้องพยายามสร้างความมั่นใจขึ้นมาให้ได้ โดยไม่ไปสนใจกับข่าวลือต่าง ๆ จะทำได้ก็ต้องมีสปิริตหรือต้องมีความมุ่งมั่น ไม่ควรเอาเวลาทั้งหมดไปสนใจในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มีแต่ผลเสีย

ต้องใช้คนที่เก่งกว่าเราให้ได้ การที่สามารถใช้คนที่เก่งกว่าตัวเรามาทำงานให้ นับว่าเป็นไม้ตายอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจให้สำเร็จ

การใช้คนไม่ใช่เอาแต่สั่งอย่างเดียว แต่หมายถึงการทำให้คนคนนั้นแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่

ต้องสร้างความเป็นตัวของตัวเองขึ้นมา ต้องรู้จักตัวของตัวเองให้ดี และสามารถพูดคุยเสนอความเห็นกับผู้อื่นได้อย่างมั่นใจโดยไม่รู้สึกต่ำต้อยกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องแสดงอาการหยิ่งยโส

แม้การเอาชนะจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่การฝึกฝนต้องทำกันเป็นทีม

ถ้าต้องการสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จอย่างปัจจุบันทันด่วน ต้องรวบรวมคนให้ได้หลาย ๆ ประเภท นำมาสร้างเป็นทีมที่ต้องมีความเชื่อใจในสไตล์การทำงานของแต่ละคนด้วย และต้องส่งเสริมลักษณะเด่นของคนเหล่านั้นให้ชัดขึ้นมา ทีมที่สร้างขึ้นจากคนหลาย ๆ ประเภทนี้ถ้าได้รับการอธิบายถึงเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน ก็สามารถระเบิดพลังความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่อยู่บนสุดซึ่งเป็นผู้นำของทีมว่าจะสามารถนำทีมได้ดีแค่ไหน

ค้นหา ห้าสหายแห่งโชคชะตา ให้พบ
ที่ปรึกษาอาวุโสจะเป็นคนคอยช่วยชี้ โอกาส ให้
คนที่มีความเป็นสุดยอดจะเป็นคนช่วยสร้าง ความกล้า
คู่ชีวิตจะเป็นคนคอย ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าท้อแท้
ผู้พิทักษ์จะช่วย ถ่วงเวลา เอาไว้เมื่อต้องการ
เพื่อนตายจะช่วยเป็น กำลังใจ คอยสนับสนุน

หากใครมีคนทั้งห้านี้อยู่รอบข้างก็เท่ากับว่ามี ดวงดาวแห่งชัยชนะอยู่ในตัว ซึ่งจะยืนยันได้ถึงความมั่นคงในความสำเร็จ

และหากวันใดคนคนนั้นเกิดต้องสูญเสียดวงดาวเหล่านี้ไปแม้เพียงดวงเดียวก็อาจจะทำให้เส้นทางแห่งความสำเร็จที่วางเอาไว้พังทลายลงมาได้

ผู้ประสบความสำเร็จย่อมต้องรู้จักความเป็นมนุษย์เป็นอย่างดี

พวกเขาจะรู้จัก ความเงียบเหงา ความเศร้าสร้อย ความสุข และความยินดีมากกว่าใคร ๆ นอกจากนี้พวกเขายังมีเสน่ห์จากการที่เป็นคนจริงใจด้วย ซึ่งหาได้ยากในคนทั่ว ๆ ไป

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงมักจะมีเพื่อนร่วมงานที่รู้ใจ ไม่ใช่แต่ไว้ใจคนที่เรารัก แต่ควรจะรักคนที่เราไว้ใจด้วย


บทที่ 4 # เพื่อนของผู้ยิ่งใหญ่
ในแววตาที่เป็นประกายนั้นบอกอะไรเราบ้าง



การจะประสบความสำเร็จนั้นสิ่งสำคัญที่สุดต้องทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดี แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบก็ต้องทำให้สม่ำเสมอจนผู้คนเชื่อว่า นี่แหละคนที่เหมาะสม

ผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะไม่ทำให้ การพบปะกันเป็นการสูญเปล่า

ผู้ที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่อยู่ในโลกแห่งความจริง เขาสามารถ หยุดคิดฟุ้งซ่านได้

หมายความว่า เขาสนใจแต่โอกาสที่ดีของตนเอง ฟังแต่สิ่งที่เกี่ยวกับตนเองและไม่เก็บเอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับตนเอาไว้ให้เปลืองสมอง

ความฝันจะเห็นได้ก็ตอนที่หลับเท่านั้น พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นอีกต่อไป

ขั้นตอนที่จะประสบความสำเร็จมี 4 อย่างคือ ความไม่ไตร่ตรอง ความทะเยอทะยาน ความปรารถนา และความคาดหวัง

ความไม่ไตร่ตรองเป็นความคิดที่อันตรายให้เลิกซะ
ความทะเยอทะยานทำให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง
ความปรารถนา ทำให้สมองซีกขวาทำงานก่อนเข้านอน
ความคาดหวังเป็นการร้องขออย่างลับ ๆ

ไม่มีใครที่จะให้โอกาสที่ดีในการทำงานแก่เราหรอก เราเองต่างหากที่จะต้องเปลี่ยน ความฝันให้เป็น เป้าหมาย ในชีวิตให้ได้

ถ้ามีความพยายามอยู่ตลอดเวลาย่อมประสบผลสำเร็จ เป้าหมายกับ ความฝันที่กลายเป็น ความต้องการที่ยิ่งใหญ่จะหล่อหลอมเข้าเป็นตัวตนของคนคนนั้น

ไม่ว่าจะต้องพบกับความไม่มีเหตุผลสักแค่ไหน หากสามารถมองมันในแง่บวกแล้วใช้เป็นกระจกเงาสะท้อนให้ก้าวกระโดดออกไปได้ย่อมประสบความสำเร็จ