ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ขนมบูชาพระพิฆเณศ - โมทะกะ และ ลาดู

เรื่องของกิน อาหารการกิน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ
แวะเวียนเข้าในเวป Hindumeeting มานาน
ศึกษาเรื่องราวหลากหลายจากที่นั่น 
เรื่องศาสนา เรื่องพิธีกรรม เรื่องการปฏิบัติตัว
แม้จะแสดงตัวเองชัดเจนว่า เป็น Pagan แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่สนใจคำสอนใดๆเลย

สิ่งที่ Pagan อย่างผม ทำคือ เรียนรู้ทุกศาสนา นำคำสอนที่ดีมาเรียน มาประยุกต์ใช้
คำสอนใด ที่ไม่เหมาะกับเราเอง ก็ ข้ามไป

วนกลับมาเรื่องของกิน เลยนึกถึงขนมที่ใช้บูชา ใช้ถวายพระพิฆเณศ
[ บางส่วนคัดลอกมาจากหลายๆเวป ผมไม่ได้นำมาเพื่อการพาณิชย์ - เลยไม่คิดจะขออนุญาตก่อน ]













 
ขนมโมทะกะ เป็นขนมทรงกลมยอดแหลม มีไส้ ทำจากข้าว และ มะพร้าว มีรสชาติหวาน




โมทะกะคนยาก  คือ ขนมที่ชาวบ้านผู้ยากจนแต่มีศรัทธาอย่างมาก ได้ทำถวาย  โมทะกะคนยากนี้เรียกกันเล่นๆ เป็นที่รู้กันว่า "โมทะกะคนยาก" รสชาติจะออกรส ฝืดๆฝาดๆ  เพราะเครื่องปรุงส่วนผสม เป็นไปตามฐานะของคนยากจนที่ทำถวาย

โมทะกะเศรษฐี จะเป็นในทางตรงข้ามกันคือ ใส่ส่วนผสมอย่างดีที่สุด  มากที่สุด เพื่อความปราณีตในการสักการะบูชา  มีรสชาติหวาน หอม

ตำนานอัศจรรย์จากการถวายขนมโมทะกะ
ในสมัยอินเดียโบราณ มีพี่น้องสองสาว คนน้องเป็นผู้มีฐานะจน คนพี่ได้สามีเป็นชายผู้มีฐานะร่ำรวย อยู่กินแบบสุขสบาย คนน้องทำงานใช้แรงกายแรงงานเข้าแลกทรัพย์ ไปวันๆ ส่วนคนพี่ ก็ทำงานช่วยสามีตน แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากเหมือนคนน้องเลย

คนน้องนั้นมีความเคารพศรัทธาในองค์พระพิฆเณศมหาเทพมาก เป็นศรัทธาที่มาจากใจจริงๆ ไม่ใช่ศรัทธาแบบผู้ขออ้อนวอน หรือ ศรัทธาแบบผู้แลกเปลี่ยนที่ว่าต้องได้สิ่งนี้จึงจะทำสิ่งนั้นสิ่งโน้นให้องค์ เทพเป็นการตอบแทน
 

วันหนึ่งคนน้องผู้ยาก ได้สะสมรวบรวมทรัพย์ที่หามาได้อย่างยากลำบาก ไปซื้อวัตถุดิบจากร้านเพื่อที่จะทำขนมโมทะกะถวายองค์พระพิฆเณศ แต่ถึงแม้จะสะสมทรัพย์ไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้ว ก็ยังเรียกได้ว่า เล็กน้อยเหลือเกิน ที่จะทำขนมโมทะกะ ตามสูตรเครื่องขนมที่สมบูรณ์ได้ คนน้องได้ใช้เงินทั้งหมดเฉลี่ยซื้อ แป้ง น้ำตา และวัตถุดิบทั้งหลายให้ครบจำนวน แต่สิ่งของทั้งหลายที่เงินจำนวนน้อยนิดแลกมาได้นั้น ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นเลวทั้งสิ้น
 

เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว นางคนน้องผู้ยากก็ได้ทำขนมขึ้นมาอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้เครื่องทั้งหมดนั้นจะมีอยู่อย่างละนิดละหน่อยก็ตาม นางก็ได้ทำขนมขึ้นเสร็จและจุดประทีป และเริ่มทำพิธีบูชาและถวายขนมนั้นแด่องค์พระพิฆเณศมหาเทพ

ครั้นในเวลาเช้า ปรากฏเรื่องอันน่าอัศจรรย์ เมื่อนางตื่นนอนและจะเข้าไปกราบบูชา ณ องค์เทวรูปพระพิฆเณศที่นั้น นางก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่า ขนมที่นางถวายนั้น หายไปแล้ว ไม่มีร่องรอยใดๆ ของก้อนขนมโมทะกะ ที่นางถวายเลย แต่พื้นที่รายรอบทั้งหมดนั้น กลับปรากฏขนมโมทะกะ จำนวนมาก มีรูปทรงลักษณะเดียวกันกับที่นางทำถวาย แตกต่างกันตรงที่ว่าบรรดาขนมที่กระจายอยู่เต็มพื้น เต็มบ้าน จนแทบจะหาที่เดินไม่ได้นั้น "เป็นทองคำแท้ ทุกก้อน" 

สิ่งนี้นำความปลาบปลื้มแก่นางมาก นางได้ รับรู้แล้วว่า องค์พระพิฆเณศมีอยู่จริง และ ให้พรอันประเสริฐแก่นางผู้มีศรัทธา ไม่สั่นคลอนแก่นางแล้ว
 

ในเวลาต่อมา คนพี่ผู้ได้สามีมีทรัพย์มาก ก็มาเรียกหา เมื่อพบว่าคนน้องไม่ได้ออกไปทำการทำงาน ค้าขายแรงงานเหมือนแต่ก่อน คนน้องผู้ใจซื่อก็บอกกล่าวกับผู้พี่ตรงๆว่า เกิดพรอันประเสริฐอะไรกับตัวเอง 

ผู้พี่ได้ยินดังนั้น ก็รีบกลับไปบ้านและเตรียมข้าวของวัตถุดิบที่จะทำขนมโมทะกะขึ้นมาถวายเหมือน กัน โดยนางได้ใช้ส่วนผสม เหมือนกับคนน้องทุกประการ แต่การใช้ส่วนผสมในลักษณะนี้ไม่ใช่เพราะตัวเองจน ไม่มีเงินทองที่จะซื้อหาวัตถุดิบอย่างดีเหมือนคนน้อง แต่เป็นเพราะความตระหนี่ถี่เหนียว และ ความคิดที่ว่า หากองค์คเณศมหาเทพ ไม่ได้รับของถวายของเธอจริง เธอคงไม่ต้องเสียทรัพย์สิ้นเปลืองมาก จากการทำขนมนี้ นางจึงใช้แป้ง น้ำตาล และวัตถุอื่นๆ อย่างเลวๆ แบบที่คนน้องทำ ทำเสร็จก็ถวายบูชาไปพอเป็นพิธี
 

ในเช้าวันรุ่งขึ้น อัศจรรย์ก็ปรากฏแก่นางอีก เมื่อโมทะกะที่นางถวายนั้น หายไปเช่นเดียวกับน้องสาวตน และมีโมทะกะใหม่มาแทนที่เช่นเดียวกับน้องสาวตนอีกเช่นกัน โมทะกะใหม่ทุกก้อนเป็นสีทองอร่าม ยังความปลาบปลื้มให้กับนางมาก นางรีบตรงเข้าไปกอบโมทะกะสีทองเหล่านั้นไว้ในอ้อมกอด 

แต่แล้วนางก็ต้องโยนโมทะกะนั้นทุกก้อนกลับลงไปสู่พื้น เพราะโมทะกะสีทองทุกก่อนนั้น เป็นอุจจาระ ไปเสียทั้งหมด มีเพียงสีที่เป็นทองคำ แต่กลิ่นที่ขจรขจายออกมานั้น บ่งชัดว่านี้คือ อุจจาระแน่นอน
 

และตั้งแต่วันนั้นมา ความเสื่อมจากทรัพย์ก็บังเกิดมีกับบ้านของคนพี่ผู้ตระหนี่ ไร้ศรัทธา ความเจริญนั้นเล่าก็ได้ไปสร้างความสุข ความอยู่สบายแก่คนน้องผู้้ยาก มีศรัทธามากผู้นั้น

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล่า เพื่อส่งเสริมเนื้อหาแห่ง โมทกะ 
ผู้ทำดี หรือถวาย โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ย่อมเป็นสุข 
คิดแบบพื้นๆ หากคาดหวัง ย่อมมีเหตุให้ผิดหวัง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม 














 
ขนมลาดู หรือ ออกเสียงได้ว่า  ลัดดู , ลาดูฟ   เป็นขนมทรงกลม ทำจากแป้งถั่วชนิดพิเศษ




ในพระหัตถ์ขององค์พระพิฆเณศมหาเทพ จะทรงถือถ้วยขนมอยู่ตลอดเวลา ขนมนั้นคือ ขนมลาดู (ถ้ามียอดแหลม คือขนมโมทะกะ)

ลาดู เป็นขนมที่พระพิฆเณศ ทรงโปรดเป็นพิเศษเหนือกว่าของบูชาใดๆ จะเห็นได้จากรูปพระพิฆเณศในพระหัตถ์ของท่านจะถือถาดขนม "ลาดู" อยู่เสมอ พระองค์เองยังได้ประกาศไว้ด้วยว่า "ถ้าผู้ใดถวายบูชาสักการะพระองค์ด้วยขนมลาดู ความปราถนาใดๆ ของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล และผู้นั้นจะได้รับการประทานพรให้สำเร็จตามที่ปรารถนา"

ในบางเวป มีการโฆษณา , วิธีการบูชา รวมไปถึงเคล็ดลับการบูชา เพื่อขอพรเรื่องโชคลาภ
อันนี้ ใครสนใจแนวนี้ ก็ไปหาอ่านเอง เพราะผมเองไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เปื้อนกับ Blog ผมเปล่าๆ
แล้วก็ออกจะเชื่อว่า งมงาย [ ก็เกือบจะรังเกียจ พวกโฆษณาชวนเชื่อ ]
ถ้ามุ่งกับผลจากการบูชามากเกินไป มันไม่ใช่การบูชาที่แท้จริง
ไม่ใช่ศรัทธา เป็นเพียงการร้องขอ จากความรู้สึกไม่พอของตัวเองต่างหาก

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รัฐบาล บนบ่อทอง - แรงกดดันให้รับงาน

มีเวลา มีอารมณ์ ก็จะมาพล่ามบ่น เรื่องรัฐบาลนี้ต่อ.....
เรื่องของเรื่อง คือ มีสินค้าของลูกค้ารายหนึ่ง สมมุติว่า ชื่อ บริษัท PT [ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ บริษัท PT (Thailand) อย่างสิ้นเชิงเลย]
เจ้า PT ที่ว่า เป็นเหมือนบริษัท Trading ที่นำเข้าสินค้า เพื่อขายให้ลูกค้าตัวเอง โดยให้ Vendor จัดการงานด้าน Operation ให้แบบเบ็ดเสร็จ

ลูกค้า PT รายนี้เสนองาน ผ่าน Agent ให้ทางรัฐบาลชุดนี้ รับงาน Import และ จัดเก็บสินค้า รวมถึง จัดส่งให้ลูกค้าของ PT อีกทีหนึ่ง

และเมื่อ Agent นำเสนองานนี้ ให้ผมทำ ผมจึงปฏิเสธ ทันที แบบไม่ฟังรายละเอียด

ทำไม ?

ลูกค้า PT เคยนำสินค้ามาฝากกับทางรัฐบาลของผมเมื่อราว 3 ปี ก่อนหน้านี้
ซึ่งเรารู้รายละเอียดดี ว่า อุปสรรค ที่ไม่เหมาะกับทางเรา คืออะไร
โดยเฉพาะเรื่องคนงานที่ต้องติดรถออกไปส่งสินค้า ครั้งละ 3-5 คน


อะไรล่ะ ที่ไม่เหมาะ ?
รัฐบาลของเรามีคนจำกัด การจะส่งคนไปข้างนอกเพื่อทำงานนั้น
ผมจะรับงานเพียงแค่ ติดตั้งเครื่องจักร เพราะ นั่นคือเรื่องที่ต้องใช้เทคนิค และมันสมองแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และมันได้สอนคนในทีมของผมได้อย่างดี ซึ่งงานแบบนี้ ก็จะต้องใช้คน 4-5 คน ไปทำงาน


อะไรล่ะ ที่ไม่เหมาะ ?
หากรับงาน PT เข้ามา แล้วตรงกับงาน ติดตั้งเครื่องจักร
เราจะเสียคนที่ออกไปข้างนอก 7-9 คน เลยทีเดียว
แล้วงานข้างในรัฐบาลล่ะ ?
หากคนไม่พอ ?
งานไม่เสร็จทัน ?
รีบเร่งจนผิดพลาด ? ฯลฯ
ใครล่ะที่จะต้องโดนลูกค้าด่า........
กรูเลย.....คนแรก และอาจจะเป็นคนเดียว หรือ บางงานอาจจะโดนคนอื่นไปด้วย

แค่นี้พอ สำหรับเหตุผล ที่จะปฏิเสธงานนี้
ผมได้บอกกับผู้นำรัฐบาลนี้ ว่า Agent เสนองานนี้ และผมปฏิเสธ
เขาก็รับฟังโดยดี แล้วตอบเพียง อืม....

แล้วไม่กี่วันต่อมา ท่านผู้นำ กลับมาบอกผมว่า ให้รับงานโดยบอกว่า Agent และ ลูกค้าที่เป็นคนชาติเดียวกัน อยากให้เรารับงานนี้
เชี่ย.......ที่กรูบอกเหตุผลเมิงไป แม่งไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม

ต้องคิดอีกแล้ว จะแก้ปัญหาที่จะเจออย่างไร ?


ผมติดต่อ Agent อีกครั้ง โดย เสนอ Agent ว่า
เราจะรับงานนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า วันพฤหัสบดี และ ศุกร์ เป็นวันที่งานภายในของผมเยอะมาก
ไม่สามารถ จัดคนออกไปส่งของให้ PT ได้
Agent รับปากว่า เรื่องคน เขาจะจัดหาให้ ในวันที่เราเสนอ

งานดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะเป็นวันที่เราจัดคนได้ และแล้ว !!
ก็ถึงงานที่ต้องส่งสินค้าในวันพฤหัสบดี และ ศุกร์
ทาง Agent จัดหาคนไปที่ปลายทางที่จะต้องรับสินค้า
ปรากฎว่า ทีมคนงานไปสาย ลูกค้าโทรมาต่อว่า ผม (คนแรกอีกแล้ว)
จำต้องรับฟังคำด่าจากลูกค้า แล้วอธิบายเหตุผล ว่าเขาต้องด่าที่ Agent นะจร๊ะ

จากเหตุการณ์นี้ ผู้นำต่างชาติของรัฐบาล และของ Agent ได้คุยกัน
ต่างชาติของ Agent บอกว่า เขาขาดทุนกับค่าคนงานและค่าขนส่งคนงาน
ขอให้ทางเรารับงานโดยไม่เกี่ยงวัน
เชี่ย.....อีกรอบ
แม่ง.....เหยียบตีนกันนี่หว่า ได้พวกต่างชาติ
แม่ง.....ไปแดกเหล้ากันเสร็จ ก็ "ซูเอี๋ย" กัน ให้กรูรับงาน
แม่ง......ขาดทุน เลยขอให้กรูขาดทุนแทน
แสรด.....แม่งเหยียบตีนกับ รวมหัวกันเหยียบกรู


มีหน้าที่แก้ปัญหา ก็แก้ไป เรื่องเครียดๆ ยุ่งๆ รวมอยู่ในเงินเดือนท่านแล้ว ... 555
คิดได้แบบนี้ ก็สบายใจ (มั้ง)

สุดท้ายต้องหาทางแก้ปัญหา ทั้งหาคนงานจากภายนอก ทั้งหารถรับจ้างแบบที่มีคนงาน
สุดท้ายของสุดท้าย ไม่มี มีแต่คนงานต่างด้าว ซึ่ง เราคงไม่รับมาทำ ไม่คุ้มกับการแก้ปัญหาที่จะตามมา
สรุปแล้ว เจอปัญหาอะไร จะแก้แบบไหน ก็บอกท่านผู้นำ
คำตอบของเขา คือ .........
I don't know......
กรูไม่รู้
กรูจะตีกอล์ฟ
กรูจะเอาไอโฟน
กรูมีนัดแดกเหล้าเย็นนี้


นี่แหละ เป็นปัญหา
หากผู้นำรัฐบาลเอง ไม่ชัดเจน ไม่มีความคิดเบ็ดเสร็จ ไม่มีใจให้กับงาน
มาเสวยสุข มานั่งโยกเก้าอี้เล่น
การพัฒนาทีมงานมันไม่เกิด
เราต้องแก้ปัญหาด้วยทรัพยากรที่จำกัด
ต้องรับข้อร้องเรียนจากลูกค้า
ต้องผมหงอกไปอีกกี่เส้นหว่า.......

รอจนเปลี่ยนผู้นำ ก็หวังว่า ผู้นำรัฐบาลคนใหม่มา จะเข้าใจและตั้งใจทำงาน
อดทนหน่อย สู้ต่อไำป.....ทาเคชิ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ซ้ำๆ ภูเก็ต กระบี่ พัทลุง : อ่านด้วยตา อ่านด้วยใจ

โอกาสของการเดินทางเปิดกว้างเสมอ สำหรับผู้ที่พร้อมเดินทาง
ข้อความนี้น่าจะเป็นจริง เมื่อวันหยุดยาวๆ 4 วัน เดินทางมาถึง
โอกาสแบบนี้ หาได้ยากมาก หยุดแบบที่ไม่ใช่สงกรานต์ ปีใหม่
ที่ผู้คนมากมาย หลากหลายชอบเดินทางกลับบ้านกัน


แล้วโอกาสแบบนี้ละ ที่ต้องเดินทาง เดินให้ไกล เดินไปอย่างที่อยากไป
16 กรกฎาคม 2011 เดินทางแต่เช้าด้วยสายการบินหางแดง
เป็นการวางแผนที่จะเดินทางล่วงหน้า อาทิตย์เดียว โดยที่ไม่ได้กำหนดวันชัดเจน
แรกเริ่ม จะเดินทางโดยเอารถขับไปเอง กะไว้ว่า สี่วัน สามพันกิโลเมตร


แต่แล้ว เหตุการณ์เปลี่ยนนิดหน่อย ทำให้เวลาหายไป
เลยทำให้ต้องเดินทางโดยหางแดง แบบด่วนๆๆๆ ลงไปภูเก็ตก่อน เพราะสาธารณูปโภคพร้อมกว่าจังหวัดอื่นๆ ที่สำคัญ มีเที่ยวบินเช้าๆ ให้เลือก
ก่อนเดินทางไม่กี่ชั่วโมง โทรสั่งท่านประธานให้หารถเช่าให้ด่วนๆๆๆ
แบบโทรสั่งสามทุ่มกว่าๆ เพื่อเอารถ พรุ่งนี้เช้า


07:50 น.ได้เวลาหางแดงออกเดินทาง สู่ภูเก็ตยามเช้า
รอบนี้ได้นั่งท้ายๆ ติดหน้าต่าง เลยได้มีโอกาส ส่องพื้นดินและท้องน้ำ
สภาพอากาศดี สบโอกาสเหมาะ ก็ควักกล้องตัวใหม่(อีกแล้ว) ที่เริ่มคุ้นมือ
ยิงไปได้ไม่กี่ภาพ นึกขึ้นได้ว่าเรามี Filter Poralize จากกล้องตัวเก่า
เก่าเกือบ 15 ปี ที่บังเอิญใช้ขนาดเดียวกัน จากระบบฟิล์ม มาดิจิตอล



พอใส่ Filter Poralize แล้วหมุนหน้าของ Filter ให้ได้แสงที่ต้องการ
ภาพจึงออกมาเป็นแสงเหมือนแสงรุ้ง น่าจะเกิดจากเรื่องทฤษฎีการหักเหของแสง
ที่บังเอิญอีกเช่นกัน ว่า จำได้งูๆ ปลาๆ


รู้เพียงว่า ตอนใช้กล้องฟิล์ม กลับไม่มีแสงแบบนี้
ไม่รู้ว่า Filter เสื่อม หรือ มันเป็นผลจาก ดิจิตอล กันแน่
แต่ก็ได้ภาพที่ออกมาสวยไปอีกแบบ ชอบๆๆๆๆ แสง สี แบบนี้


เมื่อลงที่ภูเก็ต ก็คว้ารถที่่ท่านประธานจัดหามาให้ เดินสายทันที
ใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึง สระมรกต อ.คลองท่อม จ.กระบี่
ด้วยความที่รอบที่แล้ว อยากพาพ่อแม่ มาที่นี่ เพราะดูภาพแล้วแหม สวยโดนใจ
แต่เดินทางจากภูเก็ตมาใช้เวลานาน กลัว พ่อแม่ ลูก หลานจะบ่น เลยไปพังงาแทนในรอบที่แล้ว
รอบนี้ สบายๆ ว่าแล้วก็เลี้ยวเข้าไปเป้าหมาย สระมรกต
จอดรถในที่จอดรถ ฝนเจ้ากรรมเก่า กลับตกลงมาเฉยเลย
ต้องรอในรถ ให้สายฝนทำการแสดงสัก 10 นาทีก่อน แล้วค่อยลง
ลงรถก็ มาแล้วครับ 30 บาท ค่าจอดรถ สูบนักท่องเที่ยวกันเข้าไป ไอ้น้อง!


เดินเข้ามานิดหน่อย เจอป้าย สระมรกต 800 เมตร สระน้ำผุด 1400 เมตร
โชคดี ที่คราวที่แล้ว ไม่ได้พาพ่อแม่มาที่นี่ ไม่งั้น โดนบ่นยับแน่ๆ
ให้คนแก่เดินขึ้นเขา ขึ้นเนิน เป็นกิโล


มาถึงสระมรกต ก็เข้าใจนะว่า วันหยุดยาวๆ คนตรึม ไม่มีมุมให้ถ่ายรูปในจุดดีๆเลย
ต้องหาจังหวะ หาช่องเอาเอง ตัวสระเองก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรมาก
แล้วก็ด้วยความที่คนลงน้ำกันเยอะ เลยทำให้น้ำไม่ใสเท่าที่อยากเจอ


ไว้ใครจะมา แนะนำว่า มาแต่เช้าๆ เดินสบายๆ คนน้อยๆ จะได้มุมถ่ายรูปดีๆ
ว่าแล้วก็ เดินต่อไปอีก เพื่อไป สระน้ำผุด
สระที่เมื่อคนปรบมือ จะมีฟองน้ำ หรือฟองอากาศผุดออกมา
เป็นความแปลกไปอีกแบบหนึ่ง
แต่สระน้ำผุดนี้ จะเล็กกว่า สระมรกต
เป็นลักษณะเชิงสระกลมๆ เส้นผ่าศูนย์กลางราว 8-9 เมตรได้
น้ำใส เพราะไม่ได้เปิดให้คนลงไป
มีสาวๆ คณะที่เดินมาก่อนหน้า ปรบมือกันกราว เรียกฟองอากาศมากันเพียบ


ทั้งสระมรกต และ สระน้ำผุด ไม่มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจผมได้เลย
เพราะตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ที่จะสวยงาม และน้ำใสกว่านี้


แต่สิ่งที่ทำให้พอใจ ในการเดินไปกลับ เกือบ 3 กม. คือสภาพป่า และต้นไม้
ยังมีไม้ใหญ่ๆ ขนาด 3-4 คนโอบ อยู่ตามเส้นทางเดินเยอะมาก
น่าชื่นใจ ในการได้สูดอากาศ ได้เดินชมต้นไม้ ลำธารใสๆ เล็กๆตามทางเดิน
แค่นี้ก็สุขใจแล้ว


ที่เขาว่ากันว่า ป่าและต้นไม้ภาคใต้ สมบูรณ์กว่าที่คิด เป็นคำพูดที่ ไม่เกินความจริงเลย
สิ่งที่เราเข้าใจว่า ป่าทางใต้มันไม่สมบูรณ์เท่าไร
เมื่อมากลับพบว่า ป่าทางใต้สมบูรณ์และเต็มอิ่มจริงๆ


เดินทางต่อสู่พัทลุง ครั้งแรกที่มาเมือง'ลุง เมืองที่น่าสนใจอีกเมืองหนึ่ง
โลกและผู้คน ช่างน่าสนใจ แม้จะใช้เวลากับที่นี่ไม่นาน
และพัทลุงเป็นอีกหนึ่งจังหวัดใหม่ ที่ได้มานอน


ที่พัทลุง ได้เจอ ได้รู้จักครอบครัวหนึ่ง
ลองนึกภาพ ตามไปเรื่อยๆ จากการสาธยาย
ครอบครัวนี้ มีบ้าน สองหลัง อยู่ติดลำธาร ด้านหลัง เนื้อที่ยาวไปจนติดทะเลน้อย
ด้านหน้าบ้าน ติดถนนเล็กๆที่ เป็นถนนเพื่อเดินทางสู่ทะเลน้อย
ด้านหลังบ้าน มีเรือ ลำเล็กๆ ไว้เดินทางไปสู่ทะเลน้อยได้
ทะเลน้อย เป็นทะเลน้ำจืด (เขาว่ากันแบบนั้นนะ)
เพราะ ที่นี่ เลี้ยงกุ้ง แบบกุ้งแม่น้ำ ที่เรากินๆกัน แถวอยุธยา
อาหารหลัก คือ กุ้ง ตัวเป้งๆ
วันนั้น ผมได้กิน ต้มยำกุ้งแบบใต้ แกงกระท้อนใส่กุ้งแบบใต้ และอาหารแปลกๆ อีกหลายอย่าง
ผู้คนที่นี่ ชอบเลี้ยงวัวชน ดูแลกันอย่างดี ดีกว่าลูก (ว่ากันว่าแบบนั้น คือ พูดแบบขำๆ น่ะ)
กางมุ้ง เช้าก็เอามาผูก อาบแดด เฝ้าอย่างดี มีพวงมาลัยคล้องคอ


จากภาพที่บอกให้นึก อย่าไปคิดว่าเป็น อัครสถานใหญ่โต
ที่นี่ อยู่กันอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครรวย ไม่มีใครจน
มีแต่เพื่อนบ้าน มีแต่ความพอดี กับสิ่ง "ที่มี" และ "ที่เป็น"
แม้ว่า จะมีการพนันวัวชน ออกจะคลั่งใคล้ แต่ก็ไม่ได้เล่นกันจนหนักมือ
(สำหรับบางคนเท่านั้น บางคนก็คงเล่นหนักมือ - อันนี้ เดา ไม่ได้ไปดูสนามจริง)

สภาพจากที่เห็น ผู้คนที่นิยมวัวชน เมื่อเดินทางไปสนาม
จะใช้รถกระบะ มีวัวอยู่ด้านหลัง โดนใช้ไม้ไผ่ บล็อกข้างสองด้าน
ยังไม่พอ ต้องมีคนประกบ ซ้าย ขวา เพื่อดูแล ไม่ให้วัวตื่น หรือหลุดจากบล็อกไม้ไผ่
ห่วงใย ดูแลกันจริงๆ ไม่ใช่เห็นแค่ 1-2 คัน
ระหว่างทางเจอรถแบบนี้ เยอะมาก


ท้องฟ้าของพัทลุง สว่างไสวไปพร้อมกับเท้าของผม
ที่เดินผ่านหลังบ้านไปสู่ทะเลน้อย


ป่าโกงกางข้างทะเล ป่าลำพู ริมทะเล สวย สงบ
จัดการหยิบ Filter ส้มครึ่งซีกมาใส่ซ้อน Filter UV ที่ติดเลนส์เดิม
แม้จะรู้ว่า แสงยามเช้าจะมีมวลสีโทนส้มแดงอยู่มาก
ผมกลับจัดให้ส้มมันหนักขึ้นไป หวังจะได้ภาพร้อนๆ แรงๆ
สมกับรสชาดอาหารชาวใต้
สมกับภาพริมทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่ของพัทลุง

ลงใต้เที่ยวนี้ มีเรื่องสุขสมใจ คือ การได้กินทุเรียนใต้
แบบที่เด็ดจากต้นมาไม่นาน หลังจากที่อยากชิมทุเรียนใต้มานาน
ต่อไป ก็คงทุเรียน อุตรดิตถ์ ปลายปีนี้คงได้ชิมละ

วิถีแบบชาวใต้ วิถีแบบชาวบ้าน ไม่ต้องสนใจตัวเอง
อยู่กับธรรมชาติรอบตัว เดินตัวเองให้ช้าลงบ้าง
อยู่ด้วยกันที่นี่ "วิถีชีวิตพัทลุง"

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทบทวนหัวข้อหาเสียง ของ พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล '54

วันนี้ ขอลอกข้อความ จาก คุณ Fuyu-Chan คนสวยที่ลงไว้ใน Blog : oknation ตามลิงค์
http://www.oknation.net/blog/fuyu-chan/2011/07/03/entry-2

1. ทำเขื่อนกั้นน้ำทะเล ไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ แถวๆ สมุทรสาครและสมุทรปราการ ไม่ต้องกู้
2. ดึงน้ำจากเขื่อน จากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว พม่า เขมร และเชื่อมแม่น้ำด้วยลำคลองใหม่
3. รถไฟฟ้าให้ครบทั้ง 10 สาย แต่ละสายเก็บ 20 บาท
4. ทุกสถานีรถไฟฟ้า จะสร้างคอนโดราคาประหยัด ให้เช่า
5. ทำรถไฟรางคู่เชื่อมต่อบริเวณชานเมืองกรุงเทพ
6. ทำรถไฟความเร็วสูงไปโคราช ไประยอง จันทบุรี
7. ขยายแอร์พอร์ตลิงส์ ไปพัทยา
8. ภาคใต้ทำแลนด์บริดจ์
9. ปราบยาเสพติดให้หมดไปภายใน 12 เดือน
10. ความยากจนต้องหมดไปภายใน 4 ปี
11. กองทุนหมู่บ้านเพิ่มเงินทุกตำบลๆ ละ หนึ่งล้านบาท
12. พักหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้ไม่เกิน ห้าแสนบาท ไม่น้อยกว่า 3 ปี
13. สำหรับผู้ที่มีหนี้เกินห้าแสนแต่ไม่เกินหนึ่งล้าน ให้ปรับโครงสร้างหนี้
14. โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค รักษาอย่างมีคุณภาพ
15. ส่งเสริม OTOP ร่วมกับศูนย์ศิลปาชีพ
16. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับเงินเพิ่ม 25 % ไม่ต้องทุจริต
17. ออกเครดิตการ์ดสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปซื้อปุ่ยหรือเมล็ดพันธ์เพื่อการเพาะปลูก
18. ลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% เหลือ 23%
19. จบปริญาตรีทำงานมีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท
20. ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ 
21. คนไทยต้องตั้งตัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี
22. ตั้งกองทุนร่วมทุน แต่ละจังหวัด
23. ต้องกองทุนร่วมทุนในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน โดยมีเงินนักศึกษาที่จบการศึกษากู้ยืม
24. คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับ ผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก
25. คืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถคันแรก และต้องถือครองรถไม่น้อยกว่า 5 ปี
26. สนับสนุนภาครัฐและเอกชน ไปหาสัมปทานพลังงานเช่นน้ำมัน จากทั่วโลก
27. เด็กนักเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้ One Tablet PC Per Child
28. Free WIFI เล่น Internet ในที่สาธารณะ เช่นสถานศึกษา สถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาล ฯลฯ
29. ยกเว้นวีซ่า ให้กับประเทศแถบตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น
30. ทำสนามบินสุวรรณภูมิ ให้เป็น HUB
31. ประสานความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาราเบีย ให้กลับมาเหมือนเดิม


--------------------------------------------------------------------

อาจจะด้วยความที่ วันนี้ ขี้เกียจเขียน เหนื่อยกับการเดินทางไปเลือกตั้ง
และเพลียๆ กับหลายๆ อย่างในชีวิต ก็เลย ลอกการบ้านมาบ้าง

นโยบายหลากหลาย ของแทบจะทุกพรรคการเมือง
ไม่ว่า ใครจะเป็นนายก พรรคไหนจะชนะ
นโยบายเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ ยังคงมีให้เราเห็น

สุดท้ายก็จะอ้างว่า ต้องแก้ไข ในรายละเอียดปลีกย่อย
ไอ้รายละเอียดปลีกย่อย นี่แหละ ที่ไม่เคยบอกกัน ตอนหาเสียง
ไอ้รายละเอียดปลีกย่อย นี่แหละ ที่ทำให้นโยบาย เพ้อฝัน ทำได้ไม่จริง

ว่างๆ จะมาแคะให้ดู ว่ากลเม็ด หรือ ข้อแก้ตัวของแต่ละนโยบาย
จะมีวิธีการเอาตัวรอด แบบแ้ถไปข้างๆ คู อย่างไร

ขอให้มีความสุขกับ การพัฒนาของประเทศ ในทุกๆ ด้านนะครับ
ประชาชนชาวไทย