ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มิตรสหาย ของเด็กชาย ปัณชญา

26 พฤษภาคม 2011

วันนี้ เป็นอีกวัน ที่นัดลูกกินข้าวเย็นด้วยกัน
"พ่อคงไปถึงราวๆ หกโมงเย็นนะลูก" ผมบอกกับลูกเพื่อให้เขารู้ว่า เลิกเรียน จะได้วางแผนตัวเ้อง ว่าจะไปรอที่ไหน อย่างไร
" ได้ครับ งั้นผมไปรอที่ นวมินทร์ Avenue นะครับ" ลูกผมบอกกับผมด้วยน้ำเสียงปกติ
เราพ่อ-ลูก นัดกันไว้ล่วงหน้าเสมอๆ

15.30 น. ลูกชายเลิกเรียน โทรมาถามพ่ออีกครั้ง
"เดี๋ยวผมไปรอกะเพื่อน นะครับ แล้วพ่อไปส่งเพื่อนที่บ้านได้ไหมครับ"
"ได้ซีลูก ถ้าบ้านเพื่อนไม่ได้อยู่แถวขอนแก่นน่ะ" ผมแอบๆ กระเซ้ากับลูก
"เฮ๊ย!..." ลูกชายอุทานแบบเด็กชาย 12 ขวบ


ย้อนกลับไปในวันแรกของการเรียนชั้นเรียนใหม่ โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ๆ
ขึ้นเรียนชั้น ม.1 โชคดี ที่เขามีเพื่อนที่เคยเรียนชั้นเดียวกันตอน ป.4 ในโรงเรียนเก่า
มาเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ในชั้น ม.1 ก็เลย สนิทกันไว
ขนาดเลิกเรียนวันแรก ก็ชวนกันไปเดิน นวมินทร์ Avenue ที่เป็นเหมือน Plaza ขายของ

17.15 น. "พ่อผมกิน Swensens กะเพื่อนรอพ่อนะครับ แต่ว่าผมไม่มีเงินแล้ว" ลูกชายบอกเชิงขอคำตอบ
"ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็กด ATM ซี"
ผมทำ ATM ให้ลูกไว้นานแล้ว 1 บัญชี พร้อมเงิน 1000 บาท เผื่อวันไหน ไปเตะถ้วยน้ำปลาใครแตก
"ไม่ได้เอามาครับ" ลูกตอบ
"โอเค งั้นกินไปเลย เดี๋ยวพ่อไปจ่ายให้"

17.45 น. ผมมาถึงที่ร้าน เจอลูกชาย กับเพื่อนๆ อีก 2 คน
ปาร์ค - เรียนด้วยกันชั้น ป.6 พอ ม.1 อยู่คนละห้องกัน
มิค - เรียน ป.4 ด้วยกัน พอ ม.1 ได้กลับมาอยู่ห้องเดียวกัน

ผมเดินเข้าไป เห็น ปาร์ค ถือถุงพลาสติก
ข้างในเป็นซากไข่ ที่มีหุ่นไดโนเสาร์เล็กๆ อยู่ข้างใน
เข้าใจว่า ปาร์ค คงแกะเองเพื่ออยากรู้ว่าข้างในมีอะไร และเป็นอะไร

ส่วนลูกชายผม ถือถุงน้ำ ที่ยังมีไข่ข้างใน ที่ยังไม่แตก แต่แววตามีแต่ความอยากรู้ ว่าข้างในมันจะเป็นตัวอะไร

ส่วนมิค มองดูเพื่อนๆทั้ง 2 อย่างสนใจ

ผมเห็นก็เลย อ๋อ... รู้ว่า ของเล่นแบบนี้ คืออะไร
แล้วก็บอกให้เด็กๆ ทั้ง 3 คนฟัง ว่ามันมีแบบไหน อย่างไรบ้าง



จริงๆ ทั้ง 3 คนก็รู้มาคร่าวๆ จากสาวสวยคนขายแล้ว ว่ามันคืออะไร ต้องทำอย่างไร
ไอ้ไข่ที่ว่า เรียกว่า Growing Egg มีหลายแบบ ทั้งไข่สีขาวๆ ไข่สีลายๆ รวมทั้ง แบบเพนกวินที่มีเปลือกใสๆหุ้มอยู่รอบๆ

แต่ละแบบ Spec. จากเมื่องนอกระบุว่า จะพองตัวภายใน 48 ชั่วโมง และ สามารถ ขยายตัวได้ถึง 600 % นั่นคือ 6 เท่าตัวเชียว


จากนั้นผมก็อธิบายว่า ราคาเมืองนอกส่งถึงไทย อยู๋ที่ 1 US. หริือ ราว 30-31 บาท ก็เลยถามลูกๆ ทั้ง 3 ว่าซื้อมาเท่าไร
"65 บาท" อืม....รับได้ ราคาไม่เวอร์มากไป


จากนั้น ผมยังอธิบายเพิ่มเติมไปอีกว่า
สมัยที่พ่อยังเด็กๆ ก็มีขาย แต่เป็นแบบเปลือย ไม่ได้เป็นไข่อย่างปัจจุบัน
เคยมีข่าว เด็กที่ไม่รู้ เห็นสีสรร สวย สดใส เลยจับเข้าปากกินไปซะ
ไอ้ของพวกนี้ มันดูดซึมน้ำ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะดูดน้ำในร่างกายเข้าไป
รวมทั้งของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำย่อย เลือด ฯลฯ
ดังนั้น ให้เขาระมัดระวัง ของเล่นแบบอื่นๆด้วย

จากนั้น เมื่อถึงเวลาพ่อแม่แต่ละคนมารับ  เพื่อนๆก็ต่างคนต่างกลับ
เหลือกัน 2 คน พ่อ-ลูก หลังจากจ่ายค่าไอติม ทั้ง 3 ถ้วยเสร็จ ก็พาลูกเดินมาหาอะไรกิน
คิดอะไรไม่ออก ก็เดินไป Fuji ละวะ
กินไปพลาง ให้ลูกทำการบ้านไปพลาง

"อะไรวะ ห.ร.ม. แบบคอกหมู" มันคือการ หารร่วมมาก แบบวิธีคอกหมู
งง งง งง งง งง งง งง งง
ไม่รู้จะสอนลูกอย่างไร ด้วยความที่เป็นคนมีอคติ กับวิชานี้ด้วย
ก็พยายาม โดยให้ลูกสอนพ่อก่อน
แล้วพ่อ พอจะเข้าใจ ถึงได้บอกวิธีคิด ให้ลูกในแบบของพ่อ
ต่างคนต่างสอนกันไป .... กินไป ... สอนไป...

ไม่ใช่แค่เรื่องในตำรา เรื่องชีวิต วิธีคิด ลูกก็ยินดีรับฟัง
หากเราปล่อยวางเรื่องความห่างของวัย ก็จะเข้าใจ (บ้าง)

"พ่อครับ... ถ้าไข่มันแตก แล้วออกมาเป็นตัวอะไร ผมจะโทรฯบอกพ่อคนแรกนะครับ"

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คลองมะเดื่อ - เลอะเทอะ เละเทะ

"วันนี้ว่างไหม ? ไปเที่ยวบ่อดินกัน"
"มีธุระที่ไหนป่าว ไปหาอะไรกินที่บ่อดินไหม ?"
เสียงโทรศัพท์ ชักชวนแนวๆนี้ มาหาผม 2-3 ครั้ง
เพื่อนอู๊ด แกนนำทีมงาน "ยุกูจัง" ทำงานเป็นระยะ เพื่อปลุกอารมณ์ขับ 4 ของผม

16 พฤษภาคม 2554
"พรุ่งนี้ไปไหนป่าว ไปคลองมะเดื่อกัน" เสียงเพื่อนอู๊ด ชักชวนผ่านทางโทรศัพท์
"โอเค !" คำตอบสั้นๆจากผม
"มึงเตรียมหาแผนที่ กะ GPS ไปด้วย"
"โอเค !" คำตอบสั้นๆจากผม อีกครั้ง
ว่าแล้วผมก็จัดเตรียม หาข้อมูล พิกัด GPS พิมพ์แผนที่เตรียมไว้ด้วย
สุดท้าย ลืมหมด .... อัลไซเมอร์เริ่มรับประทานละกรู....

17 พฤษภาคม 2554
08.30 น. เริ่มเดินทางมีผม เพื่อนอู๊ด และพี่เจิด เดินทางไปเรื่อยๆ
เดี่ยวมีคณะน้องโก๊ะ ตามมาอีกคัน
ทริปนี้ ตั้งใจลอง Winch ใหม่ของน้องโก๊ะ
เรามาตามเส้นทาง รังสิต - นครนายก
ถึงนครนายก
วิ่งไปตามเส้นทางน้ำตก สาริกา มีป้ายบอกน้ำตกตลอดทาง

ก่อนถึงน้ำตกสาริกา จะมีแยก ให้เลี้ยวขวาไปตามทางน้ำตกนางรอง

จากจุดนี้ มีร้านอาหาร ของกินเพียบ
ใครจะโปรโมทร้านไหม จริง หรือ ลวง ก็ไปลองชิมเองจะดีกว่า
 เพราะมีให้เลือกหลายร้านมาก

หลังจากจอดรถกินข้าวสาย และเตรียมอาหารไว้ยามบ่ายเรียบร้อยแล้ว

พวกเราเดินทางต่อ เลี้ยวซ้ายเข้ามาทางวัดบ้านดง โดยการถามทางตลอด
เนื่องจากพิกัด GPS ที่มีคนโพสในเวป มันบอกให้ผมวิ่งวนอยู่แถวนครนายกนั่นเอง หรือว่า มันมีหลายคลองมะเดื่อกันหว่า ที่นครนายกเนี่ย.....
ว่าแล้วก็แอบนึกในใจ พิมพ์แผนที่มา แล้วดันลืมไว้ที่ทำงาน ....เฮ๊อ....หน่วยความจำชักแย่ละ
วิ่งมาเรื่อยๆ ถามทางไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะถูกทางละ ถนนช่วงแรกๆ ทางเข้าตามหมู่บ้านคน ยังเป็นถนนราดยาง สบายๆ วิ่งได้เรื่อยๆ
บริเวณข้างทางเริ่มเห็นว่าเป็นภูเขาสูงสองข้างทาง อากาศเริ่มเย็นสบาย โชคดีที่ฝนๆไม่ตกลงมาให้เปียก
เข้ามาอีกนิด เป็นถนนลูกรังอัดแน่น ก็ยังไปได้เรื่อยๆ อากาศเย็นสบาย
มาเรื่อยๆ จะเห็นสองข้างทาง ปลูกส้มโอ(ขาว ลูกสาวสวย) ไปเป็นระยะ
สวนส้มโอเนี่ย ตอนกลางวัน ผมรู้สึกเฉยๆ แต่ตอนกลางคืนนี่แหละ
น่าสนใจมาก ไว้ช่วงท้ายๆ จะเฉลย ว่า น่าสนใจยังไง ... ใครใจร้อนก็เลื่อนลงไปอ่านก่อนเลย....
ต้นไม้ใหญ่ๆ ใกล้กรุงเทพฯ ยังมีอยู่ให้เห็น ไม่กี่นาทีจากกลางเมืองเอง
วิ่งไปเรื่อยๆ ก็เจอคลองหนึ่ง น้ำในลำธารไม่มากนัก รถวิ่งไปสบายๆ
พวกเราวิ่งผ่านคลองหนึ่ง คลองสอง มาแบบไม่คิดอะไรมาก เพราะอยากไปให้ไกลเท่าที่จะไปได้
พวกเรามาจอดกันที่คลองสาม เพื่อนอู๊ดจัดแจงจอดรถหลบทาง เพื่อให้คันอื่นๆไปได้สะดวก
จากจุดต้นทางมาจนถึง คลองสาม รถขับเคลื่อน 2 ล้อ ก็สามารถเข้ามาได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร
เพราะทางเป็นถนนดินธรรมดา ไม่มีโคลน หรือ ร่องหลุมลึกมากนัก
แต่ถัดจากนี้ไป ต้อง 4WD เท่านั้นครับ เพราะอะไร เชิญรอช่วงต่อไป
เพราะตอนนี้ ขอพักจอดรอน้องโก๊ะ นั่งจิบเบียร์ในลำธารให้ชื่นใจก่อน
จากจุดที่เป็นคลองสาม หากข้ามลำธารไป จะมี 2 ทางให้เข้าไป
จุดที่เป็นทางปกติ ไม่เสียเงิน จะมีหลุมแอ่งขนาดใหญ่ให้ลง
อีกจุด ต้องเสียค่าผ่านทาง 50 บาท เพื่อเลี่ยงหลุมที่ว่านั่นละ
(แอบคิดในใจ มันแอบขุดกันเองป่าววะ)
เพราะ 50 บาท/คัน กับทางเลี่ยงประมาณ 200 เมตร แพงเหมือนกันนา...

เมื่อน้องโก๊ะและชาวคณะมาถึง พวกเราก็เดินทางต่อไป โดยใช้เส้นทาง 50 บาท
เข้ามาได้ไม่ถึง 100 เมตร ก็เจอรถ 2 คันที่เข้ามาก่อนเรา
คันแรกจมอยู่ในหลุมที่บอกไว้ น่้านละ
ส่วนคันที่ 2 กำลังเตรียมดึง เพื่อจะหลุดให้ออกมาจากหลุม
พวกเราจอดดูอยู่สักพัก เพื่อดูทีท่า ว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
น้องโก๊ะ จัดแจงเสียม มาขุดบริเวณหลุม เพื่อให้ความสูงของหลุม ลดลง รถจะได้ถูกดึงขึ้นได้โดยสะดวกขึ้น (อีกนิด) เพราะทั้งค้นหน้า และ หลัง จมอยู่ทั้งคู่
อีกปัญหา คือ คันหน้า สตาร์ทไม่ติด ! เพราะฉะนั้น ต้องใช้แรงคันหลัง + Winch เพื่อที่จะดึงรถออกมา
พวกเราอยู่บริเวณนั้นราว 40 นาที เมื่อรถขึ้นมาจากหลุมได้ เราก็เดินทางกันต่อ
รถ 2 คันนั้น ก็จำต้องเสีย 50 บาท/คันเช่นกัน
จากจุดที่เสีย 50 บาท หากอยู่บริเวณนั้น ก็มีลำธารให้จอดรถ นั่งพัก ชื่นชมป่าเขาได้สบายๆ
แต่พวกเรารู้สึกว่า ยังไม่ได้ออกแรงอะไรกันมา เลยขอไปต่อ
เส้นทางต่อไป ก็ต้อง 4WD เท่านั้น เพราะถนนเป็นโคลน เลน ร่องดินล้วนๆ
เส้นทางก็มีแยกบ้างบางช่วง แต่พอโผล่หน้ารถไปก็จะเห็นว่า ไม่ใช่ทางจริง เพราะถูกกิ่งไม้ขวาง
ทางบางช่วง ก็ต้องวิ่งตามลำธาร ร่องดินสูง แบบว่า รถไม่สูงอาจจะติดท้อง ทำให้ล้อแขวนได้
พวกเรามากันเรื่อยๆ ไม่รู้ว่า คลองอะไรแล้ว เพราะ ผ่านลำธารมาหลายจุดมาก
จนมาถึงจุดสุดท้ายที่เราเข้าไป มีรถมอเตอร์ไซค์ Dirt Bike จอดอยู่หลายคัน
และมี 1 คันที่ขวางเส้นทางอยู่ ผมและเพื่อนอู๊ด เลยเดินสำรวจบริเวณนั้น เพราะมีทางแยกหลายแยกมาก
ซึ่งเดินดูแล้ว มันก็จะวนมาหากัน
พวกเราจึงตัดสินใจ จบเส้นทางที่ตรงจุดนี้ แล้วเตรียมกลับรถไปจอดบริเวณคลองสุดท้ายที่เราผ่านมา
เพื่อนั่งกินอาหาร และชื่นชมป่าไม้ ลำธารให้หายอยาก

รองเท้ากันน้ำ ราคาแพงของผม เละเทะ เต็มไปด้วยโคลน
แล้วรถเพื่อนอู๊ดละ ..... ไม่เหลือครับ เลอะเทอะ เช่นกัน
สักพักกลุ่ม Dirt Bike ก็กลับออกไป ในเวลาไล่ๆกันกับ รถ 2 คันที่ติดอยู่ตรงจุด 50 บาท มาถึง
ทั้ง 2 คัน ขับต่อเข้าไปบริเวณที่ผมเดินสำรวจ และคาดว่า คงจอดพักบริเวณนั้น
เรายิ้มทักทาย พูดคุยกันไปตามปกติ เหมือนคนรู้จักกันมาก่อน ...
ใช่ เราเคยรู้จักกัน เมื่อสักชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง แค่ยิ้มก็มีมิตรแล้ว
สักพัก พอรถบริเวณนั้น จากไปกันหมด น้องโก๊ะก็เริ่มลองรถ จากหลุมที่อยู่ตรงหน้า
พยายามไต่ ปีน เพื่อจะดึงตัวเองให้หลุดจากหลุม
สุดท้าย ขึ้นมาได้แต่ล้อหน้า ล้อหลังขึ้นไม่ได้ ส่วน Winch ยังไม่ได้ใช้
น้องโก๊ะก็เปลี่ยนเลน มาวิ่งทางอีกด้านที่ไม่มีหลุม
แล้วพวกเราก็กลับมาที่ลำธารสุดท้าย จอดรถ จอดคน แช่น้ำ
เล่นข้าวเหนียว ไก่ย่าง จิบเบียร์ ขาแช่ลำธาร ... โอว....สุขใจจริงๆ
จนเวลาโพล้เพล้ 18.30 น. เราก็เก็บทุกอย่างเดินทางกลับ
ระหว่างทางกลับ ก็ผ่านสวนส้มโอ ที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรก
สิ่งที่น่าสนใจคือ หิ่งห้อย เต็มสวนส้มโอ
หากใครมีโอกาสอยากไปกางเต๊นท์นอน ก็ขอแนะนำว่า บริเวณสวนส้มโอ
น่าจะ Romantic น่าดู .... จุ๊..กรู๊ว..........

------------------------------------------------
พ้นจากเรื่อง Romantic กลับมาที่เรื่องของเส้นทาง และผู้คน
ส่วนใหญ่คนที่เล่นรถ 4WD แล้วเข้าป่า เมื่อเจอคันอื่นๆที่เจอะปัญหา ก็จะมาช่วยกัน
ช่วยอะไรได้ ก็ช่วย อย่างน้อย ก็กำลังใจ รอยยิ้ม หรือ อุปกรณ์บางอย่างเท่าที่จะช่วย
แม้แต่ Dirt Bike พวกเราก็ลงไปช่วยเมื่อเห็นว่ารถเขาล้อจม ผ่านร่องดิน หรือ รากไม้ไม่ได้
บางคนอาจจะหวงรถบ้าง มองเราแปลกๆบ้าง แต่ก็เข้าใจ เพราะคันนึงก็หลายแสน
แต่ทำไงได้ กรูอยากช่วยพวกมึงนี่หว่า ....

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

About a Girl [ เธอเท่านั้น ] - Nirvana


About a Girl [ เธอเท่านั้น ] – Nirvana

I need an easy friend.
ฉันต้องการเพียงสักคนที่เป็นมิตร
I do, with an ear to lend.
คนที่จะคอยรับฟังสิ่งที่ฉันเป็นอยู่
I do think you fit this shoe.
ฉันก็หวังว่าเราจะเข้ากันได้
I do, won't you have a clue.
ไปด้วยกันอย่างไม่มีอะไรแคลงใจกัน

* I'll take advantage while.
ฉันจะเกื้อกูลกัน ในช่วงเวลา
You hang me out to dry.
ที่เราต่างพบความยากลำบาก
But I can't see you every night, free…
เพียงแต่ ณ. วันนี้ ฉันไม่ได้อยู่กับเธอในทุกๆค่ำคืน
I'm standing in your line.
ฉันกำลังยืนอยู่ในหัวใจเธอ
I do hope you have the time.
เพียงหวังให้เธอมีเวลาให้กัน
I do pick a number two.
เราจะให้ความรู้สึกที่พิเศษให้กัน
I do keep a date with you.
เราจะมีวันเวลาที่ดี ร่วมกัน

* I'll take advantage while.
ฉันจะเกื้อกูลกัน ในช่วงเวลา
You hang me out to dry.
ที่เราต่างพบความยากลำบาก
But I can't see you every night, free…
เพียงแต่ ณ. วันนี้ ฉันไม่ได้อยู่กับเธอในทุกๆค่ำคืน
(Solo)...  
 
I need an easy friend.
ฉันต้องการเพียงสักคนที่เป็นมิตร
I do, with an ear to lend.
คนที่จะคอยรับฟังสิ่งที่ฉันเป็นอยู่
I do think you fit this shoe.
ฉันก็หวังว่าเราจะเข้ากันได้
I do, won't you have a clue.
ไปด้วยกันอย่างไม่มีอะไรแคลงใจกัน

* I'll take advantage while.
ฉันจะเกื้อกูลกัน ในช่วงเวลา
You hang me out to dry.
ที่เราต่างพบความยากลำบาก
But I can't see you every night, free… I do
เพียงแต่ ณ. วันนี้ ฉันไม่ได้อยู่กับเธอในทุกๆค่ำคืน
ได้โปรดอยู่เคียงข้างกันเถิด ... เราต่างจะมีความสุข

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ภูเก็ต : มุมมองอีกด้าน

วันหยุดยาวๆ (สั้นๆ แต่ก็คิดว่ายาวแล้วละ) มีจังหวะที่พอจะเจียดเวลาได้ แล้วก็ด้วยความหิวทะเลภาคใต้
หอบสังขารโทรมๆ พร้อมอาการเจ็บข้อมือ ลงใต้ ชายทะเล-ภูเก็ต

เดินทางรอบนี้ มีพาหนะคู่ใจ ใช้เดินทาง เป็นมอเตอร์ไซค์ Honda - Scoopy I
การใช้รถมอเตอร์ไซค์ ในป่าตอง-ภูเก็ต เป็นเรื่องปกติ เพราะรถยนต์หาที่จอดก็ลำบาก ไม่คล่องตัว
แล้วสำหรับผม มันปกติเกินไป เพราะใช้รถยนต์ในป่าตอง และรอบๆภูเก็ต พังงา กระบี่ มาจนเบื่อแล้ว


ในเขตป่าตอง เท่าที่เห็นน่าจะมีปั๊มน้ำมัน เพียงที่เดียว ที่เหลือเป็นปั๊มหลอด หรือร้านที่ขายน้ำมันบรรจุขวดน้ำอัดลมขนาด 1 ลิตร
วิธีการเติมน้ำมันของชาวป่าตอง คือ มอเตอร์ไซค์ จะเข้าคิวเพื่อรอเติมกัน ปั๊มจะเปิด 2 ช่องการจราจร
ผมผ่านทีไร ไม่เคยเจอแบบที่เข้าไปเติมได้เลยทันที ผ่านทีไรก็จะต้องเห็นคนเข้าคิวเติมตลอด
ครั้งแรกเข้าไป ก็ดูๆชาวบ้านเขาทำยังไง แล้วทำตาม
จอดรถ - ดับเครื่อง - เปิดเบาะรถ - ยกเบาะขึ้น - เข้าคิว - เข็นรถไหลไปตามลำดับ - ถึงคิว
บอกเด็กปั๊ม ว่าจะเติมเท่าไร - จ่ายเงิน - ขับออกไป

ทำแบบนี้กันหมด ทั้งฝรั่ง ทั้งไทย ทั้งพม่า ด้วยความที่ไม่เคยเจอการเข้าคิวยาวๆ แบบนี้
สำหรับผม ถือว่าแปลกว่ะ

การจะเดินทางจากป่าตองไปไหนมาไหน จะต้องผ่านข้ามภูเขา ตรวจสภาพรถคร่าวๆ พอที่จะผ่านไปหาดไหนต่อไหนได้ ก็เริ่มโครงการ ขับขี่สบายใจ ไปเรื่อยๆ


จากป่าตอง จะมีถนนที่มาจากทางสนามบินเข้ามาหาดป่าตองได้ 2 ทางหลักๆ
ทางแรก มาจากเส้นบายพาส เลี้ยวขวาตรงสี่แยกตรงโลตัส มาเรื่อยๆข้ามเขา ก็จะเข้าเขตป่าตอง
ผมเดินทางด้วนรถยนต์เข้ามาเส้นนี้บ่อยๆ เลยไม่ค่อยสนใจ
ก็เลยเล็งๆ ทางที่สอง
ทางที่สอง จากป่าตอง ผมวิ่งผ่านบ้านกะหลิม ที่เป็นหมู่บ้านริมหาดที่ต่อกับหาดป่าตอง
ทะเล หาดทรายอาจไม่สวยอย่างป่าตอง แต่ก็สงบ ยามเย็นๆ ผู้คนมาจอดรถชมวิวพระอาทิตย์ตกน้ำกันพอสมควร

แม้แต่กระเหรี่ยงอย่างผม ก็มาทั้งทอดอารมณ์ แบบชิลๆ ... 555
ริมหาดกะหลิม ด้านหนึ่งเป็นหาดที่มีโขดหิน ไม่มีคนมาเล่นน้ำ มีแค่ชมวิว เดินเล่นประปราย


จากกะหลิม ต้องเริ่มขึ้นเขาละ เส้นทางขึ้นเป็นทางยาวเหมือนกัน ได้อารมณ์ ภูเขา ผสม ทะเล
ระหว่างทาง สามารถจอดรถตรงไหนก็ได้ เพราะใช้มอเตอร์ไซค์


ผมจอดชมวิวตลอดทาง บรรยากาศบนเขา มองลงไปที่ทะเล ทั้งแนวปลายสายตา และแนวดิ่งลงเหว
เห็นทั้งความสงบของทะเล ที่สุดสายตา และความเกรี้ยวกราดเมื่อทะเลกระทบโขดหินเมื่อมองดิ่งลงหน้าผา


ข้ามเขาไปเรื่อยๆ ก็เจอบ้านกมลา ที่นี่มีอนุเสาวรีย์ระลึกถึงสึนามิ เมื่อหลายปีก่อน
หาดกมลา ตรงจุดที่มีรถยนต์จอดได้ และมีรีสอร์ทมากมาย ก็เป็นหาดที่อยู่ในเวิ้งอ่าว สงบ ลมไม่แรงมาก
ผมผ่านกมลาไปอย่างช้าๆ ซึมซับอารมณ์กมลา ให้ได้เต็มที่ สักพักก็พาเจ้า Scoopy I ออกมาสู่ถนนหลัก เพื่อจะไปต่อที่ หาดสุรินทร์ ในหาน ในยาง ตามที่คิดๆไว้ ระยะทางที่คาดไว้คงราวๆ 30 กม. ในขาไป

Scoopy I พาผมมุ่งหน้าไปหาดสุรินทร์ แบบไม่เร่งรีบอะไรมาก
พลันสายตาก็มองเห็นซอยเล็กๆ เล็กขนาดพอที่มอเตอร์ไซค์จะสวนกันแบบลำบากนิด แต่ก็สวนกันได้
สายตามองผ่านไป เห็นช่องที่รถเข้าไป ในช่องนั้นเห็นทะเล แล้วดันเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ เคลื่อนตัวผ่านช่องนั้นพอดี บรรยากาศแบบนี้ ทำให้ผมต้องรีบจอดรถ หันรถกลับเพื่อจะเข้าซอยนั้น


เข้าไปสุดซอย มีที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ได้ไม่กี่คัน พอที่จะมีช่องให้จอดได้ ก็จอดและเดินต่อริมหาดกมลาด้านปลายๆหาด
ที่อีกด้านของหาด เป็นภูเขา ที่มีรีสอร์ทตั้งอยู่บนเขา บรรยากาศบนนั้นคงดีน่านอนจริงๆ
ที่ภูเก็ต ทุกพิ้นที่เป็นเงินเป็นทองไปหมด ยิ่งใกล้ทะเล ยิ่งมีค่า



ผมเห็นได้จากตามเส้นทางที่ผ่าน จะมีการก่อสร้างอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ที่ผมไปภูเก็ต
แต่เห็นทุกครั้งที่มาที่นี่ ....
มองๆไป เห็นต่างชาติคนหนึ่ง กำลังเดินมา มีหมาเดินตามห่างๆ
ดูจากมุมที่ผมยืนอยู่ ก็เลย วางกล้องลงกับพื้น กะระยะ เตรียมยิง
รอให้มาตรงจุดพระอาทิตย์ส่องกลางโป๊งเหน่งพอดี
แช๊ะ ! แหม....หมามาช้าไปนิด ไม่เป็นไร


ช่วงนี้ เริ่มเข้าสู่หน้า Low Season นักท่องเที่ยวเริ่มลดลง ประกอบกับ หาดกมลา จุดนี้ไม่ค่อยสะดวกในการเข้าถึงมาก ทำให้ร้านค้าริมหาดเงียบเหงา
คิดซะว่า ปิดเทอม พ่อค้า แม่ค้า พักผ่อนบ้าง


นั่งๆ เดินๆ ซึมซับบรรยากาศ พลันหันไปเห็นสาวๆอิสลาม เล่นน้ำกันทั้งชุดคลุมฮิญาบ






ฮิญาบ เป็นการคลุมปิดตั้งแต่ผม มาถึงคอ แต่เปิดให้เห็นใบหน้า โดยผ้านั้นจะเป็นผ้าสี่เหลี่ยม



 
ว่ากันว่า มาทะเล ก็ต้องโดด ไม่ว่าศาสนาใด ก็โดดได้ (ก็ไม่รู้ ชาติอื่น เขาโดดกันไหม)
สาวๆ ฮิญาบ ก็โดด

ฟ้าเริ่มมืดลง ราตรีแห่งป่าตองกวักมือเรียก

ได้มีโอกาสเดินยามค่ำคืนบ้างเล็กน้อย กับไกด์สาวสวย "ที่ผมแอบหลงรักแบบเปิดเผย - งงไหมล่ะ"
ผมสนใจตึกสูงของป่าตอง The Royal Paradise Hotel ที่อยากเข้าไปแล้วขึ้นชั้นบนสุด
น่าจะเห็นมุมมองของป่าตอง และทะเล ยามค่ำได้ดี
สาวสวยสุดที่รัก นำผมไปอย่างเต็มใจ พลันมองผมด้วยสายตา แปลกๆ ปน สงสัย



เดินเข้าซอยมานิดเดียว ผมก็รู้สึกตัวเลยครับ
กับผู้คนที่เดินสวนออกมา และเดินเข้าไป
แถวนี้ มีร้านเหล้า แบบที่มีผู้ชายนั่งอยู่เต็มหน้าร้าน เพื่อเป็นเพื่อนนั่งดื่ม
ขาชา หน้าชาครับ สำหรับกระเหรี่ยงอย่างผม สงสัยว่า ตัวเองคงจะเขินๆ อายๆ
หรือนี่มันใช่ตัวเราวะเนี่ย 555


เพื่อป้องกันการเข้าใจตัวเองผิดพลาด ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแก้เขิน แล้วรีบเดินจากไป....