โดยมีการรวบรวมเป็นหมวดหมู่ในชั้นหลัง คำว่า
“เวท” นั้น หมายถึง ความรู้ มาจากธาตุ “วิทฺ” (กริยา รู้) แต่ไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากภูมิปัญญาของมนุษย์ แต่เป็น "ศรุติ" คือคำสั่งสอนของพระเป็นเจ้าที่ถ่ายทอดให้แก่เหล่าฤๅษีอินเดียในสมัยโบราณ ไม่มีผู้เป็นปฐมาจารย์ของคัมภีร์พระเวท
คัมภีร์พระเวท ประกอบด้วยคัมภีร์ 4 เล่ม ได้แก่
ฤคเวท (Rgveda) ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า
สามเวท (Samaveda) ใช้สำหรับสวดในพิธีกรรมถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์และขับกล่อมเทพเจ้า
ยชุรเวท (Yajuraveda) ว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายันและบวงสรวงต่างๆ และ
อาถรรพเวท (Atharvaveda)ใช้เป็นที่รวบรวมคาถาอาคมหรือเวทมนตร์
ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : นี่เป็นเพียงเนื้อหาเบื้องต้นของ คัมภีร์พระเวท
ก่อนจะเป็นคัมภีร์ 4 เล่มในคัมภีร์พระเวทนั้น มาจากงานเขียน 4 ประเภท
ติดตามจากด้านล่างได้เลย
คัมภีร์ทางศาสนาของอินเดียที่ประกอบกันขึ้นเป็นพระเวทนั้น
ประกอบด้วยงานเขียน 4 ประเภท คือ
1. มันตระ
2. พราหมณะ
3. อารัณยกะ
4. อุปนิษัท
-------------------------------------------
มาว่ากันทีละประเภทกันครับ1. มันตระ (ภาษิต, บทเพลง, มนตร์) จัดว่าเป็นคำประพันธ์ที่เก่าที่สุดของวรรณคดีพระเวท เป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นศาสนาฮินดู
คัมภีร์นี้ไม่ปรากฏผู้แต่งและเวลาแต่ง สันนิษฐานว่าเริ่มแต่งขึ้นประมาณ 1500 ปี ก่อนคริสตกาล และท่องจำเล่าสืบต่อกันมาโดยไม่มีการเขียน
ต่อมาได้มีการรวบรวมเข้าด้วยกัน โคลงกลอนซึ่งประกอบเป็นพระเวทนั้นใช้สำหรับร้องสรรเสริญบูชาเทวดาในพิธีบวง สรวงเทพยดา ซึ่งคงจะเป็นเทพยดาประจำเผ่า นอกจากนี้ยังใช้ท่องบ่นในพิธีแต่งงาน พิธีศพมันตระประกอบด้วยคัมภีร์ 4 เล่ม คือ
- ฤคเวท (Rgveda) จัดว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่เก่าที่สุดในโลก รวบรวมเอาบทสวดแด่เทพยดาต่างๆ เข้าไว้ คงจะเป็นการรวบรวมบทสวดของเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกันจึงมีการกล่าวถึงพระเจ้าหลายองค์ โดยมิได้ระบุอย่างแน่ชัดว่าองค์ใดเป็นประมุขของทวยเทพ
บทสวดเหล่านี้จะถูกจดจำสืบต่อกันมาหลาย ชั่วอายุคน โดยไม่มีการหลงลืมหรือบิดเบือน เนื่องจากความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของคำสวดทุกพยางค์ จนกระทั่งมาถึงเมื่อประมาณศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาลจึงมีการจดบันทึกฤคเวทลงเป็นลายลักษณ์อักษร
คัมภีร์ฤคเวทนี้ถือว่าเป็นคัมภีร์ของพวกนักบวชอย่างแท้จริงเพราะ นอกจากจะเป็นผู้แต่งขึ้นแล้วก็ยังเป็นผู้ใช้ในการประกอบพิธีกรรมสังเวยเทพยดาอีกด้วย
- สามเวท (Samaveda) แต่งขึ้นเพื่อรวบรวมบทสวดที่เลือกมาจากฤคเวท เพื่อประโยชน์ในการสวดเท่านั้น จึงไม่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับพวกอารยันนอกเหนือไปจากที่ฤคเวทได้ให้ไว้
- ยชุรเวท (Yajuraveda) คัมภีร์นี้รวบรวมมนตร์ที่นักบวชประเภทหนึ่ง ต้องท่องในการประกอบพิธีกรรม ซึ่งประพันธ์ไว้เป็นทั้งร้อยกรองและร้อยแก้ว
คัมภีร์นี้เองที่เป็นต้นเค้าให้แก่คัมภีร์พราหมณะ เพราะมีอยู่ด้วยกันหลายฉบับ
"ฉบับดำ : กฤษณ " คือตัวมนตร์กับคำอธิบายอย่างสังเขปในการประกอบพิธี
"ฉบับขาว : ศุกล" เป็นการอธิบายอย่างละเอียดถึงเนื้อหาแห่งพิธีกรรม ตลอดจนเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง การประกอบพิธีแต่ละขั้นตอน
"ฉบับขาว" นี้เรียกว่า พราหมณะ (เข้าใจว่ามาจากคำ พรหมะ ในฤคเวทซึ่งมีความหมายหนึ่งในหลายๆ ความหมายว่า "สาระแห่งการสวด" ดังนั้นผู้ทำการสวดจึงถูกเรียกว่าพราหมณ์)
ในบรรดาพระเวททั้งสามซึ่งบางทีเรียกว่า ไตรเวท จะสะท้อนให้เห็นถึงความคิดพัฒนาการของความคิดในหมู่อารยันชั้นสูง ซึ่งมีนักบวชเป็นผู้นำ แต่เนื่องจากพวกอารยันมีหลายเผ่า จึงทำให้บางกลุ่มไม่ยอมรับความเชื่อที่ปรากฏในฤคเวท
นอกจากนี้การที่พวกอารยันอพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนของชนชาติอื่น ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องปรากฏลักษณะความเชื่อของผู้คนดั้งเดิมอยู่บ้าง จะถือเอาไตรเวทเป็นตัวแทนของความเชื่อทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้นคัมภีร์เล่มสุดท้ายของมันตระคือ อาถรรพเวท นี้จึงมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ด้วยเหตุดังกล่าว
- อาถรรพเวท (Atharvaveda) รวบรวมขึ้นหลังฤคเวท บรรจุเรื่องราวของ การสาป-การเสก การท่องมนตร์ที่เป็นคำประพันธ์ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเชื่อผีสางเทวดาแบบง่ายๆ และ เรื่องไสยศาสตร์ ที่ไม่ลึกซึ้งเหมือนอย่างเรื่องราวที่ปรากฏในฤคเวท จึงเหมาะสำหรับคนที่มีระดับวัฒนธรรมต่ำกว่าคนที่เชื่อในฤคเวท
เข้าใจว่าอาถรรพเวทสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของประชาชนส่วนใหญ่ จึงมีร่องรอยของวัฒนธรรมที่ไม่ใช่อารยันผสมผสานอยู่อย่างมาก
ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : ในเรื่องของการสาป-การเสก ปรากฎในเรื่องราวของมหาภารตะยุทธเยอะมาก จะเรียกได้ว่า การสาป เป็นสิ่งรุนแรงมาก การจะแก้ หรือ ถอนคำสาปนั้น ยากมาก
2. พราหมณะ ปลายสมัยพระเวทความสำคัญของตัวพิธีกรรมสังเวยเทพยดามีมากขึ้น ในขณะที่ตัวเทพยดากลับลดความสำคัญลง จึงเกิดคัมภีร์เพื่ออธิบายความหมายของพิธีกรรมต่างๆ ที่ปรากฏในพระเวท คัมภีร์พราหมณะแต่งขึ้นราว 800-600 ปี ก่อน ค.ศ. ซึ่งยังเป็นผลงานของนักบวช (พราหมณ์) ดังนั้น จึงสอดคล้องกับหลักการใหญ่ๆ ของพระเวท คือ เน้นการกระทำสังเวยแก่เทพยดา
อย่างไรก็ตามคัมภีร์พราหมณะก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในความคิด เกี่ยวกับศาสนาอยู่เหมือนกัน
3. อารัณยกะ หรือหนังสือคำสอนสำหรับใช้ในป่า ซึ่งเป็นภาคผนวกของพราหมณะ มีภาษาสำนวนและแม้แต่เนื้อความคล้ายกับพราหมณะ แต่ให้ความสนใจแก่ความหมายของพิธีกรรมและความหมายในสัมหิตา มากกว่าพราหมณะที่สนใจแต่กฎเกณฑ์ของการประกอบพิธีกรรม
4. อุปนิษัท ในปลายสมัยพราหมณะ ความเชื่อทางศาสนาของพวกพราหมณ์ไม่เป็นที่เพียงพอแก่สภาพของประชาชนอินเดีย ซึ่งได้ผ่านความเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง และสังคมไปมากแล้ว
ความไม่รู้สึกเพียงพอต่อคำอธิบายทางศาสนาในพระเวท และพราหมณะนี้ทำให้อินเดียก้าวเข้าสู่ยุคหนึ่ง ของการคิดค้นทางด้านศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
คัมภีร์อีกประเภทหนึ่งเริ่มปรากฏขึ้นเรียกว่า อุปนิษัท
ความสนใจของคัมภีร์ประเภทนี้มิใช่อยู่ที่พิธีสังเวยอีกต่อไป แต่อยู่ที่การคิดค้นหาทางอภิปรัชญาอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการค้นหาทางแห่งความหลุดพ้นโดยสิ้นเชิงจากการเวียนว่ายตายเกิด
ในสมัยนี้มีคนจำนวนมากออกกระทำทุกขกริยา หรือมิฉะนั้นก็ออกไปแสวงหาสมณธรรมตามป่าเขา โดยตัวคนเดียวบ้างเป็นหมู่คณะบ้าง แล้วเที่ยวประกาศคำสอนอย่างใหม่ในที่ต่าง ๆ
คำสอนนี้แม้ว่าจะมีความสำคัญต่างไปจากพระเวท แต่ก็หาได้ปฏิเสธพระเวท แต่ก็ยังไม่ยอมรับความสำคัญของ พิธีกรรมสังเวยเทพยดาของพราหมณ์อยู่ เป็นแต่เพียงไม่เห็นว่าจะเป็นช่องทางนำไปสู่ความหลุดพ้นเท่านั้น
คำสอนของอนาคาริกหรือขอเรียกง่าย ๆ ในที่นี้ว่า ฤษี เหล่านี้รวมเรียกว่าอุปนิษัทซึ่งแปลว่าการเข้ามานั่งใกล้ (เพื่อรับการสอน)
อุปนิษัท ที่แต่งรุ่นแรก ๆ เป็นร้อยแก้ว อธิบายคำสอนอย่างสั้น ๆ ด้วยบทสนทนาซักถาม
อุปนิษัทรุ่นหลังแต่งเป็นคำประพันธ์ก็มี ถึงแม้อุปนิษัททั้งหลายไม่เกี่ยวเนื่องกันเอง (เพราะรวบรวมจากคำสอนของคนหลายกลุ่ม) และไม่มีเอกภาพแต่มีสาระสำคัญตรงกันในด้านคำสอน
ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : ต้องออกตัวก่อนว่าเรื่องการศึกษาพระเวท ไม่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ หรือ มนตร์ดำ หรือ การเข้าทรงเป็นเทพไหนๆ
การเข้าทรงเป็นการประโลมโลก หรือลวงให้คนจิตอ่อนแอ (ในช่วงเวลานั้นๆ) คล้อยตามสิ่งที่ร่างทรงอวดอ้าง ร่างทรงใดแน่จริง ก็ำจงทำนายขนาดรองเท้า และจำนวนรองเท้าในตู้รองเท้าของผมทีเถอะ ทายถูก จะไปสักการะ ท่านถึงที่เลย.....ขอท้า...!!
ลิงค์ด้านล่างเป็นลิงค์รวบรวมข่าวร่างทรง...เชิญทัศนา...
http://www.siamganesh.com/devils10.html
Source : Wikipedia , http://www.siamganesh.com , mahakali.org , http://www.phrasiarn.com