ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เขาค้อ : พักผ่อนแบบเบาๆ

07 มกราคม 2012
แรกเริ่มเลย ตั้งใจจะออกจากบ้าน ไพศาลี วิ่งไปเส้นทาง อ.ซับสมอทอด
แล้วใช้เส้นทาง 21 วิ่งไปที่เพชรบูรณ์ แล้วเข้าไปเขาค้อ
แต่เปลี่ยนแผนนิดหน่อย ด้วยความที่ผู้ร่วมขบวน อยากไปถ่ายรูป จิบกาแฟ ที่ Route 12
ร้านกาแฟ บนเขา บนถนนสาย 12 เส้นทาง อ.วังทองไป จ.เพชรบูรณ์
อ๊ะ .... ไม่ยาก ไปทางไหนก็ได้ ไม่ซีเรียส
ตัดสินใจกันว่า จะเอารถไำปคันเดียว
ผม ลูกชาย น้องชาย น้องสะใภ้ หลานชาย
อัดกันไปในรถ Honda New City ไปนัดเจอฝาแฝดน้องสะใภ้อีก 1 คัน
เพราะออกจาก อ.เมือง นครสวรรค์
นัดเจอกันที่ร้าน Route 12 เลย เพราะจะได้นั่งรอไปแบบเพลินๆ


สำหรับผม เฉยๆ กับร้านแนวตกแต่งสวยงาม
ด้วยความที่กินง่ายๆ อยู่ง่ายๆ แถมรำคาญผู้คนเยอะแยะ เลยไม่มีอารมณ์ร่วมกับสถานที่เท่าไร

ผู้ร่วมเดินทางในรถ Honda New City + คนขับอีก 1 ดูคันเล็กๆ แต่ภายในกว้างพอที่จะรับมือเด็ก 3 คน พร้อมอุปกรณ์การเล่นในรถอีกตลอดการเดินทางได้อย่างสบาย


มาถึง Route 12 ราวเที่ยงนิดๆ ก็หาข้าวกินที่ร้านเลย กินไป รออีกคณะนึงไป
จนเดินทางมากันครบทีม
อิ่มแล้วก็เดินถ่ายรูป ย่อยอาหารกันนิดหน่อยตามประสา



ก็สถานที่เขาทำไว้ให้คนมาถ่ายรูปนี่นา
Route 12 ทำเลจะมองเห็นหุบเขา แล้วก็เขาอีกหลายๆลูก (แม้จะเป็นเขาหัวโล้นก็ตาม)

มองไปแล้วก็เศร้านะ กับการบุกพื้นที่ โดยการตัดไม้ใหญ่้เพื่อนทำพืชสวน
แม้จะได้ต้นไม้ใหม่ แทนต้นไม้เก่า
แต่คุณค่าของป่า ของธรรมชาติต่างกัน
พืชทดแทน ต้องการอาหารในดินคนละแบบกับพืชธรรมชาติ
ร้านกาแฟ หรือ รีสอร์ท ให้อะไรกลับคืนธรรมชาติบ้าง
พล่ามไปไกลเกินละ...กลับมาที่ร้าน Route 12


เพราะจากร้านนี้ เดินทางไม่ถึง 30 กม. ก็จะถึง ในสายหมอก บูติก รีสอร์ท

เห็นบอกไว้ว่าเป็นของดารา ณหทัย พิจิตรา [ ขวัญใจผมจากภาพยนต์ วิถีคนกล้า ]
ที่น้องสะใภ้จองห้องพักไว้
ส่วนผม ขอแค่พื้นที่กางเต๊นท์ได้ก็พอ


















ออกจาก Route 12 ราวๆ 14:00 น. ก็เลี้ยวขวาตรงแยกแคมป์สน เข้าไปประมาณ 20 กม.
Resort จะอยู่ทางขวามือ
ทางเข้าไป อาจจะไม่ค่อยสะดวกสำหรับพวกรถโหลดเตี้ย
เพราะเป็นถนนปูนที่แตก มีเนิน อาจจะติดท้องรถได้
หรือไม่ก็วิ่งเข้าไปแล้วแอบสะอื้นในใจคนเดียว
เราเตือนคุณแล้ว...555





มาถึงที่พักก็จัดแจง เตรียมของลง ไว้ที่บ้านพัก 
ส่วนผมก็กางเต๊นท์ เสร็จแล้วเอาอุปกรณ์ดื่มเบียร์มากางไว้อย่างพร้อมสรรพ์
เดินมาถ่ายรูปกับลูกๆ หลานๆ 
อากาศราว 15.00 ของที่นี่ ไม่ร้อน เย็นสบาย แม้จะเป็นต้นๆมกราคมของเมืองไทย ที่ร้อนปกติ

 

เด็กๆ ก็สนุกกับแกะ แต่ควรมีผู้ปกครองคอยดูด้วยนะครับ
เพราะว่า เด็กอาจจะเล่นอะไรที่แรงไป หรือไม่รู้ว่าจะแสดงไมตรีต่อสัตว์ก่อนอย่างไร
ผลคือ ลูกชายผม โดนแกะเจ้าตัวใหญ่ขนปุน(สากๆ) ชนไป 1 ที แต่ไม่ได้รุนแรงอะไร
สัญชาติญาณของสัตว์ อาจจะป้องกันตัวในสิ่งที่ไม่แน่ใจ
ในสายหมอก บูติก รีสอร์ท ก็มีเต๊นท์บริการ สำหรับคนอารมณ์อยากนอนเต๊นท์ 
มีเครื่องนอนให้พร้อม แบบว่า ตากแดดไว้
สำหรับคนรักสะอาด(มาก) อาจจะ มีบ่น อันนี้ ต้องทำใจ
เพราะนี่บนเขา และไม่ใช่ โรงแรม 5 ดาว

 กลุ่มผู้ที่เลือกมาพักในพื้นที่แบบนี้ ก็คงอยากสัมผัสอากาศ สายหมอก เป็นหลัก
ส่วนผมก็จิบเบียร์รอสายหมอกไปพลางๆ สร้างบรรยากาศในหัวใจตัวเองไปก่อน...
ก่อนมื้อเย็น พวกเราแวะวัดพระบรมธาตุเจดีย์ แล้วขับรถมาหาข้าวเย็นกิน
สะดุดตากับ Big Coffee ที่มีรูปแก้วกาแฟใหญ่ๆ ไม่ไกลที่พัก ไม่ไกลวัดฯ
ขับผ่านๆ ดูเหมือนไม่มีคน และดูเหมือนร้านกาแฟ
แต่พวกเราก็ลงรถ มาดูแล้วเลือกที่จะฝากท้องไว้ที่นี่
จากหน้าร้านเข้ามาด้านหลัง
โอว....บรรยากาศดี นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินท่ามกลางสายลมเบาๆ
อากาศไม่หนาวจนเกินไป
ดีครับ ชอบๆ ครั้งหน้า ถ้ากลับมาเขาค้อ ก็จะมาที่นี่อีกครับ
หรืออาจจะพักที่นี่ซะเลย งดนอนเต๊นท์สักครา จะเป็นไรไป


ไม่ใช่แค่เพียงบรรยากาศของธรรมชาิติที่นี่ อาหารก็อร่อย แบบต้องสั่งกลับไปอิ่มต่อที่ห้อง




เอ่อ...เด็กๆก็ซื้อของกินแบบแถมของเล่นกลับไปเล่นต่อที่ห้องอีก
เริ่มมืดอีกนิด ผมให้ลูกชายไปเอาไฟเย็น ที่เตรียมไว้มาแจกให้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่เล่นกัน

ก็เป็นความสนุกสนานเล็กที่เตรียมไว้ให้
แล้วผมก็ไม่ได้หวังผลจะถ่ายรูปออกมาให้สวยงามอะไร
ต้องปล่อยให้เด็กเล่นอย่างที่เขาอยากเล่น หมุนไป หมุนมา
จะไปแนะนำให้แสดงเป็นอักษร หรือ รูปภาพ คงไม่ใช่อารมณ์เด็ก
แค่แนะนำเขาว่า อะไร อันตรายก็เพียงพอ

เบียร์สิงห์ ทำให้ราตรีเดินทางไปไวกว่าปกติ ( จากความรู้สึก )



กลับเข้าสู่โลกของวันใหม่ ตี 4 กว่าๆ ผมกลับแหกขี้ตาตื่น (อีกแล้ว ครับท่าน )
ด้วยความกระสันอยากเสพทะเลหมอก
คว้ากล้องถ่ายรูป ขาตั้งกล้อง มารอ โดยมีพระจันทร์รอด้วยกันเป็นเพื่อน
นั่งรอด้านนอกเต๊นท์ก็แล้ว


กลับมานอนรอในเต๊นท์ก็แล้ว กวักมือเรียกพระจันทร์มานอนข้างๆกัน
มาเถิดพระัจันทร์ มานอนรอสายหมอกด้วยกัน


จนเช้าวันใหม่ พระจันทร์ร่ำลากลับไป
ผมลุกขึ้นมาท่ามกลางความผิดหวัง
คิดอะไรไ่ม่ออก ก็ได้แต่ หยิบหนังสือมาอ่านยามเช้า
อ่านให้พระอาทิตย์ฟัง พร้อมอธิษฐานว่า อย่าเพิ่งทำภูเขาหัวโล้นหมดนะ



ออกจากที่พักก็ตาม Step พิพิธภัณฑ์อาวุธ ( ค่าเข้า 10 บาท )
ตามด้วยอนุสรณ์สถาน แล้วก็พระตำหนัก


บนพระตำำหนัก มีต้นสน ต้นไม้ ดีดตัวสูง แบบเดียวกับ ทุ่งแสลงหลวง
นี่ซี...ต้องแบบนี้ ถึงจะเรียกว่าภูเขา
ระยะหลังๆ ผมมักจะวางแผนตัวเองไปเที่ยว เวลาที่พระจันทร์เต็มดวง
คงมีแววว่า จะแปลงกายในอีกไม่นาน
หรือ แอบหลงรักพระจันทร์อยู่เป็นแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น