สรุปสาระสำคัญ
– อยากยิ่งใหญ่ต้องใจหิน
บทที่ 1 # ปรัชญาของความใจหิน
ผู้ที่มีอำนาจต่างจากคนทั่วไปตรงไหน
ดังนั้นไม่ว่าเจอกับสถานการณ์อย่างไร
ถ้าสงบสติอารมณ์ได้แล้วตัดสินใจทำอย่างรวดเร็ว เงินเพียง 10 เยนก็สามารถชนะได้
แต่สำหรับคนที่รวบรวมสติไม่ได้ มัวแต่สับสนลังเล สุดท้าย 10
เยนนั้นก็สูญไปโดยเปล่าประโยชน์
ก่อนอื่นต้องตั้งสติ
แล้วปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความรวดเร็วว่องไวเป็นคุณสมบัติประจำตัว
สำหรับคนที่ไม่ชอบพบอุปสรรค
ขยาดการประชุมเพื่อแก้ปัญหา มีงานค้างอยู่ตรงหน้าก็ไม่อยากทำงานล่วงเวลาให้เสร็จ
ถ้าคิดได้เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องหวังว่าจะทำอะไรอย่างอื่นให้เสร็จได้อีก
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ
ต้องลงมือทำอย่างรวดเร็ว ไม่สับสน และมีประสิทธิภาพ
ผู้ที่คิดจะมีอำนาจต้องเป็นผู้ที่มีมารยาทและสุภาพด้วย
คนที่สุภาพที่สุด จริงๆ
แล้วอาจจะเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดก็ได้ !
ผู้ที่มีอำนาจต้องเป็นคนสุภาพ
อย่างน้อยก็ต้องแสดงออกมาให้เห็น
ส่วนข้างในจิตใจจะเป็นอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
คนเราไม่ว่าจะทำงานอะไร หรือมีหน้าที่อะไร
ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ถ้าไม่สามารถมองคู่แข่งออกก็จะมีโอกาสพ่ายแพ้สูง
การมองคนออก เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนเอง
เพราะตาเป็นของตนเอง ใช้ตานั้นแหละมองคนที่เพิ่งเจอกันโดยบังเอิญให้ออก
ถ้าไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง
ก็ยากที่จะจับการโกงหรือคำโกหกของฝ่ายตรงข้ามได้
การจะทำให้ผลงานออกมาดีต้องมีความตั้งใจ !
เมื่อมีความตั้งใจที่แน่วแน่แล้วไม่ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางอย่างไรก็จะรีบกำจัดมันทิ้งไปโดยเร็ว
นี่จึงจะเป็น “การตัดสินใจของคนแกร่ง”
ต้องสำรวจตัวเองว่ามีอะไรบ้างในตัวเราที่พิเศษกว่าคนอื่น
และมีทางที่จะทำให้มันกลายเป็นเงินได้ไหม
“ถ้าไม่เห็นค่าของเงิน
เงินก็ไม่อยู่กับเรา”
ผู้มีอำนาจต้องไม่หักหลังใคร
ผู้มีอำนาจมักจะไม่นิยม “การติดหนี้”
“การเป็นหนี้บุญคุณ” ก็เหมือนกับการมีภาระผูกพันที่ต้องคืนเขาอยู่ร่ำไป
คนที่มีความสามารถใช้เพียงสายตาก็ข่มขู่ผู้คนได้
“การเป็นหนี้บุญคุณ” ใครสักคนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าต้องตกเป็นเบี้ยล่างของเขาไปด้วย
“ผู้ที่มีกองทัพที่ดี
หากบังคับกองทัพไม่ได้ รบไปก็มีแต่แพ้”
ในยุคสงคราม
ผุ้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดจะต้องอยู่หลังสุดเสมอ แน่นอนที่สุด
เพราะหากตัวหัวหน้าตายก็เท่ากับว่าแพ้ หัวหน้าต้องอยู่ในตำแหน่งที่ลูกธนูไปไม่ถึง
และถ้าคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ได้จะได้หนีได้ทัน ดังนั้นคำว่าขี้ขลาดจึงเป็นคำพูดที่ใช้ในยามสงครามอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามถ้าแม่ทัพยังอยู่ภายหลังยังสามารถกลับมาล้างแค้นได้
การจะวัดคนว่าเก่งแค่ไหน
ไม่ใช่แค่ดูจากผลงานของคนคนนั้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องดูไปถึงการ “สร้างคนของตน” ขึ้นมาด้วย
คนเราต้องรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ควรที่จะอยู่เบื้องหลัง
การจะเป็นผู้มีอำนาจไปตลอดได้จะต้องไม่ยุ่งกับงานที่สกปรก
รูปลักษณ์ภายนอกมักหลอกลวงอยู่เสมอ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้น
มักจะสามารถสร้างภาพลวงหรือการแสดงออกทางสีหน้าเพื่อกลบเกลื่อนตัวตนของตนเองได้อย่างแนบเนียน
ถ้าอยากประสบความสำเร็จเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ล่ะก็
เราก็ต้องทำตัวเป็นผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา
เพื่อที่จะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพียงแต่ทำให้ใครๆ
ก้อยากเป็นเพื่อนเราเท่านั้น แม้แต่ผู้มีอำนาจก็อยากเป็นเพื่อนเราด้วยเหมือนกัน
ผู้ยิ่งใหญ่มักจะให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มไฟแรงอยู่เสมอ
ไม่ต้องสนใจว่าเรามีอาชีพอะไรหรือจบการศึกษาอะไรมา
ขอเพียงมีความคิดดีๆ แวบขึ้นมาเท่านั้น
นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภายหลัง
บทที่ 2 # การแสดงออกของผู้ประสบความสำเร็จ
ไร้ความรู้สึก เย็นชา
และกล้าหาญ
มนุษย์ผู้ชายเกิดมาก็เพื่อแสดงออกถึงพละกำลังของตน
อยากจะเอาชนะคู่แข่งให้ได้ ดังนั้นภายในสมองก็เลยมีแต่ “การพยายามเพิ่มความสามารถ” ของตนอยู่ตลอดเวลา
จะว่าไปแล้วสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ของผู้ชายไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ยุคโบราณมาแล้ว
เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “คนเราก็มีวันพ่ายแพ้ได้” แต่ก็ไม่มีใครอยากที่จะเป็นผู้แพ้
คนที่สามารถรอดพ้นจากความโชคร้ายมาได้แถมยังเชิดหน้าได้อีก
คนแบบนี้ถึงจะเรียกว่าได้รับชัยชนะจนประสบความสำเร็จ
คนเราจะคอยแต่พึ่งคนอื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ก็ต้องใช้ความสามารถและความคิดของตนจัดการให้ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องต้องมั่นใจในความสามารถของตน
เมื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ได้อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็น “ผู้ประสบความสำเร็จ”
เมื่อตนเองเข้าใจงานของตนอย่างทะลุปรุโปร่ง
ย่อมสามารถผ่านอุปสรรคไปได้ไม่ยาก
และถ้ามีอะไรเข้ามาขัดขวางหรือทำให้เกิดความรำคาญ
ก็ต้องรีบกำจัดให้พ้นทางไปโดยเร็ว !
ต้องตั้งใจเอาไว้ว่า วันนี้ของปีหน้าเราจะต้องไม่อยู่ในสภาพนี้อีก
สิ่งที่มนุษย์ไม่อาจจะตัดขาดได้ก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่ไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรง่ายๆ
ได้ลงคอ และยิ่งถ้าต้องตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมากด้วยล่ะก็
จะทำให้คนคนนั้นกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขไปเลย
ดังนั้นเหนือสิ่งอื่นใด
จะต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดขวางความสำเร็จของตัวเอง
ถ้าอยากจะเป็น “ผู้ประสบความสำเร็จ” ก็ต้องเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ นี้ก่อน
การที่จะประสบความสำเร็จ
ต้องมองสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในมุมกว้าง
การพูดบ่นอย่างไร้จุดหมาย
ไม่สามารถทำให้ความฝันนั้นๆ เป็นจริงขึ้นมาได้
ถ้าอยากจะบินให้ได้เหมือนนกบนท้องฟ้าก็ต้องเริ่มวางแผนการสำหรับปัจจุบันและอนาคตอย่างเป็นรูปธรรมก่อน
อย่างที่เรียกกันว่าต้องใช้ตาแบบนกมองรอบตัว เพื่อวางแผนการพัฒนาตนเองสู่อนาคต
หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า “big
picture” ถ้าเราไม่สามารถวาด “แผนการขนาดใหญ่”
ได้ก็จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้ยาก
คนที่รู้จักฉกฉวยโอกาส
ย่อมไม่ปล่อยโอกาสดีๆ ให้หลุดมือไป
คนที่มี “แผนการขนาดใหญ่” กลับมองถึงโอกาสที่อาจเปลี่ยนไป
โดยค่อยๆ ใช้ความพยายามทำให้โอกาสมีมากขึ้น จากนั้น “ผู้ประสบความสำเร็จ”
ก็จะอาศัยการวางแผนที่เหมาะสมและถูกจังหวะลงมือ
“แผนการดี ๆ ที่ลงมือทำได้เลยทันที
ดีกว่าแผนการสมบูรณ์แบบที่จะลงมือในอาทิตย์หน้า”
เมื่อตัดสินใจแล้วจะต้องไม่หันหลังกลับไปอีก
จะต้องไม่ยึดติดอยู่กับพันธนาการเล็ก ๆ ต่าง ๆ
ไม่ว่าอะไรก็ตามต้องมีการคัดเลือกและลงมือทำอย่างรวดเร็ว
เมื่อตัดสินใจแล้วไม่ลงมือทันทีก็ไม่มีความหมายใด ๆ
“ผู้ประสบความสำเร็จ” จะมีความสามารถพิเศษในการทำให้โอกาสเข้ามาอยู่ในมือ
และเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ตบมือแค่สองสามครั้งก็เริ่มลงมือได้เลย
ทั้งนี้ต้องซื่อสัตย์ต่อความทะเยอทะยานของตนเองแล้วค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปสู่จุดหมาย
ประโยคที่ว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” มักจะใช้กับการหาลูกค้าใหม่ ๆ ส่วนประโยคที่ว่า “ลูกค้าคือปีศาจ”
จะเป็นวิธีจัดการรักษาลูกค้าเอาไว้ พูดอีกอย่างก็คือ การรักษาลูกค้าเอาไว้เป็นสิ่งสำคัญกว่าอย่างอื่น
สำหรับผู้บริหารมืออาชีพแล้ว
เขาย่อมมีวิธีการปฏิเสธความต้องการของลูกค้าอย่างไม่มีเยื่อใยเลยทีเดียว
ความสำเร็จนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับ
“การตัดสินใจ” ที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว
แต่ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญและกล้าลงมือด้วย
การตัดสินใจไม่ได้มีผลต่อโอกาสที่จะสำเร็จ
แต่การคาดการณ์ความเสี่ยงได้ถูกต้องต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์
กล่าวกันว่าคนที่กำลังโกหกมักจะไม่กล้าประสานสายตา
แต่ถ้าเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมจัดที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย
ขณะที่โกหกสายตาก็ยังนิ่งเฉย
ดังนั้นถ้าจิตใจมีแต่เรื่องร้าย ๆ การจะสลัดความทุกข์ร้อนหรือความห่อเหี่ยวให้ออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ต้องสร้างภาพอยู่เสมอว่าสามารถพาตนเองกระโดดข้ามกำแพงสูงที่ขวางกั้นอยู่ได้
สิ่งที่อยากให้จำไว้ก็คือ
ในตอนนั้นต้องไม่คิดถึงจุดอ่อนของตนเอง
แทนที่จะคิดว่าตนเองไม่เคยเอาชนะในจุดนี้ได้ ก็ให้คิดถึงจุดแข็งของตนเอง
และดูว่าจะสามารถเอาชนะจุดนั้นได้อย่างไร
นั่นคือการสร้างภาพที่จะทำให้เอาชนะในโลกแห่งความเป็นจริงได้
ถึงแม้จะเป็นการมองโลกเข้าข้างตนเองเกินไป
แต่การสร้างภาพดี ๆ ในจิตใจก็จะเป็นผลดีต่อพลังในการแข่งขันในอนาคต
ต้องเข้าใจจุดที่เป็นปัญหา
ต้องเข้าใจมุมมองของลูกค้า และต้องเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
การเข้าใจจุดที่เป็นปัญหาถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
โดยใช้ความละเอียดอ่อนเข้าช่วย การเข้าใจมุมมองของลูกค้า
คือการทำอารมณ์ของตนเองให้เย็นลงแล้วฟังอีกฝ่ายบ้าง การเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดก็คือ
ต้องมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าขั้นตอนต่าง ๆ อยู่ที่จุดไหนแล้ว
เพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีการตอบสนองอย่างไร
“ผู้ที่ประสบความสำเร็จ” สามารถมองสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าได้หลายมุมมอง
คนเราก็ต้องประสบกับอุปสรรคด้วยกันทั้งนั้น
จุดสำคัญอยู่ที่ในตอนนั้นเราจัดการรับมือกับมันอย่างไร
เวลาทหารตั้งกองทัพจะต้องให้อยู่ต้นลม
และคอยเวลาที่ลมจะพัดลงไป แต่หากลมยังสงบนิ่งอยู่ แทนที่จะคอยอยู่เฉย ๆ
จงอย่าปล่อยให้เวลาสูญเปล่า
พยายามศึกษาภูมิประเทศที่ตั้งทัพอยู่ให้ถ่องแท้เป็นการฆ่าเวลา
การวัดความสำเร็จของตนเอง
ต้องยึดความสามารถพิเศษที่ตนมีอยู่เปรียบเทียบกับในวงการที่ตนอยู่เป็นหลัก
บทที่ 3 # กรณีศึกษาของผู้ประสบความสำเร็จ
เป็นเพื่อนสนิทกับความโดดเดี่ยว
เพื่อที่จะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ตลอดรอดฝั่ง
“ความเห็นแก่ตัว” เป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญอย่างนั้นหรือ
น่าสรรเสริญหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ “ผู้ที่ประสบความสำเร็จ” จะคิดเรื่องของตนเองเป็นอันดับหนึ่ง
เขาจะคิดอยู่แต่เพียงว่า สุดท้ายตัวเองเท่านั้นที่จะต้องอยู่รอด
คนสุดท้ายที่เขาจะไว้ใจได้ก็คือตัวของตนเอง
มนุษย์ทุกคนในยามปกติมักมีชีวิตอยู่กับกฎระเบียบ
และผูกพันอยู่กับมันจนวันตาย แต่เมื่ออยู่ในภาวะคับขัน
ตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
ต่างคนต่างพยายามตะเกียกตะกายหนีจากสภาวะเลวร้ายนั้นให้ได้
คนที่สามารถเลือกตัดสินใจในการดำเนินชีวิตด้วยตนเองได้
ก็นับเป็นสิ่งที่ดีที่ไม่ต้องไปทนกับสภาพเหล่านั้น เพื่อความสำเร็จแล้ว
จะให้ใครมาคอยบงการอยู่ข้างหลังไม่ได้
ชะตากรรมของชีวิตเรา เราเองเป็นผู้กำหนด
คนที่สามารถแผ้วถางเส้นทางเดินของตัวเองได้ย่อมไม่มัวแต่มานั่งรอคอยสังคมในอุดมคติ
และมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับความเห็นของมนุษย์คนใดทั้งสิ้น “ผู้ที่ประสบความสำเร็จ”
รู้ดีว่าการมีความกรุณาอย่างอ่อนหัดจะให้ผลร้ายตอบสนองกลับมาอย่างไร
คนที่มัวแต่วิตกกังวลกับเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ
จนไม่อาจตัดสินใจ คนประเภทนี้ยากที่จะประสบผลสำเร็จ
เรื่องของตนเองยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าสิ่งไหนสำคัญสิ่งไหนไม่สำคัญ
พวกเขาไม่มีวันที่จะนำหน้าคนอื่นได้อย่างแน่นอน
มนุษย์เราโดยทั่วไปตัดสินกันด้วยสายตา
ไม่ว่าจะเป็นอะไร
ก่อนอื่นจะดูที่รูปลักษณ์ภายนอก จากนั้นถึงดูลึกเข้าไปในเนื้อหา
เมื่อออกโรงก็ต้องให้งดงาม
ยิ่งเมื่ออยู่บนแท่นพูด ก็ยิ่งต้องทำให้ดูเชี่ยวชาญ
หากบางครั้งต้องพูดเรื่องที่เกินความจริงไปหน่อย
ก็ต้องพูดเฉพาะสิ่งที่ตนเองเท่านั้นที่รู้เรื่องดี
หรือเรื่องที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่ได้ไปประสบพบเห็นมาจริง ๆ
เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว
สิ่งที่ถือเป็นความสุดยอดก็คือ ต้องออกไปเผชิญหน้ากับผู้คน
คนที่เคยผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมาได้มักจะกลายเป็นคนที่มีความร้ายกาจเพิ่มขึ้น
ความร้ายกาจอันนั้นทำให้คนเรามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
ไม่ว่าจะนักการเมืองหรือนักกีฬาต่างก็ชอบที่จะได้รับ
“การจดจำ”
มากกว่า “การจดบันทึก” ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถที่แสดงออกมานั่นเอง
เกิดเป็นผู้ชายแล้ว
คงอยากจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้รับการยกย่อง และได้ออกไปยืนอยู่บนเวทีใหญ่
คนโกงแม้ทำงานร่วมมือกันก็เป็นไปอย่างแกน ๆ
ทำงานร่วมกับคนโกงก็เหมือนทำงานอยู่กับฝ่ายตรงข้ามย่อมมีผลเสีย
ถ้าไม่มั่นใจในงานใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเหมือนงานเก่ากับที่เก่าละก็
ต้องพยายามสร้างความมั่นใจขึ้นมาให้ได้ โดยไม่ไปสนใจกับข่าวลือต่าง ๆ
จะทำได้ก็ต้องมีสปิริตหรือต้องมีความมุ่งมั่น
ไม่ควรเอาเวลาทั้งหมดไปสนใจในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มีแต่ผลเสีย
“ต้องใช้คนที่เก่งกว่าเราให้ได้ การที่สามารถใช้คนที่เก่งกว่าตัวเรามาทำงานให้
นับว่าเป็นไม้ตายอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจให้สำเร็จ”
การใช้คนไม่ใช่เอาแต่สั่งอย่างเดียว
แต่หมายถึงการทำให้คนคนนั้นแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่
ต้องสร้างความเป็นตัวของตัวเองขึ้นมา
ต้องรู้จักตัวของตัวเองให้ดี
และสามารถพูดคุยเสนอความเห็นกับผู้อื่นได้อย่างมั่นใจโดยไม่รู้สึกต่ำต้อยกว่า
แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องแสดงอาการหยิ่งยโส
แม้การเอาชนะจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล
แต่การฝึกฝนต้องทำกันเป็นทีม
ถ้าต้องการสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จอย่างปัจจุบันทันด่วน
ต้องรวบรวมคนให้ได้หลาย ๆ ประเภท นำมาสร้างเป็นทีมที่ต้องมีความเชื่อใจในสไตล์การทำงานของแต่ละคนด้วย
และต้องส่งเสริมลักษณะเด่นของคนเหล่านั้นให้ชัดขึ้นมา ทีมที่สร้างขึ้นจากคนหลาย ๆ
ประเภทนี้ถ้าได้รับการอธิบายถึงเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน
ก็สามารถระเบิดพลังความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่
จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่อยู่บนสุดซึ่งเป็นผู้นำของทีมว่าจะสามารถนำทีมได้ดีแค่ไหน
ค้นหา “ห้าสหายแห่งโชคชะตา” ให้พบ
ที่ปรึกษาอาวุโสจะเป็นคนคอยช่วยชี้ “โอกาส” ให้
คนที่มีความเป็นสุดยอดจะเป็นคนช่วยสร้าง “ความกล้า”
คู่ชีวิตจะเป็นคนคอย “ผ่อนคลาย”
ความเหนื่อยล้าท้อแท้
ผู้พิทักษ์จะช่วย “ถ่วงเวลา” เอาไว้เมื่อต้องการ
เพื่อนตายจะช่วยเป็น “กำลังใจ” คอยสนับสนุน
หากใครมีคนทั้งห้านี้อยู่รอบข้างก็เท่ากับว่ามี
“ดวงดาวแห่งชัยชนะ”
อยู่ในตัว ซึ่งจะยืนยันได้ถึงความมั่นคงในความสำเร็จ
และหากวันใดคนคนนั้นเกิดต้องสูญเสียดวงดาวเหล่านี้ไปแม้เพียงดวงเดียวก็อาจจะทำให้เส้นทางแห่งความสำเร็จที่วางเอาไว้พังทลายลงมาได้
“ผู้ประสบความสำเร็จ” ย่อมต้องรู้จักความเป็นมนุษย์เป็นอย่างดี
พวกเขาจะรู้จัก ความเงียบเหงา ความเศร้าสร้อย
ความสุข และความยินดีมากกว่าใคร ๆ
นอกจากนี้พวกเขายังมีเสน่ห์จากการที่เป็นคนจริงใจด้วย ซึ่งหาได้ยากในคนทั่ว ๆ ไป
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงมักจะมีเพื่อนร่วมงานที่รู้ใจ
ไม่ใช่แต่ไว้ใจคนที่เรารัก แต่ควรจะรักคนที่เราไว้ใจด้วย
บทที่ 4 # เพื่อนของผู้ยิ่งใหญ่
ในแววตาที่เป็นประกายนั้นบอกอะไรเราบ้าง
การจะประสบความสำเร็จนั้นสิ่งสำคัญที่สุดต้องทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดี
แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบก็ต้องทำให้สม่ำเสมอจนผู้คนเชื่อว่า “นี่แหละคนที่เหมาะสม”
ผู้ที่ประสบความสำเร็จ
จะไม่ทำให้ “การพบปะกัน” เป็นการสูญเปล่า
ผู้ที่ประสบความสำเร็จ
เป็นคนที่อยู่ในโลกแห่งความจริง เขาสามารถ “หยุดคิดฟุ้งซ่าน” ได้
หมายความว่า เขาสนใจแต่โอกาสที่ดีของตนเอง
ฟังแต่สิ่งที่เกี่ยวกับตนเองและไม่เก็บเอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับตนเอาไว้ให้เปลืองสมอง
ความฝันจะเห็นได้ก็ตอนที่หลับเท่านั้น
พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นอีกต่อไป
ขั้นตอนที่จะประสบความสำเร็จมี 4 อย่างคือ
ความไม่ไตร่ตรอง ความทะเยอทะยาน ความปรารถนา และความคาดหวัง
“ความไม่ไตร่ตรอง” เป็นความคิดที่อันตรายให้เลิกซะ
“ความทะเยอทะยาน” ทำให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง
“ความปรารถนา”
ทำให้สมองซีกขวาทำงานก่อนเข้านอน
“ความคาดหวัง” เป็นการร้องขออย่างลับ
ๆ
ไม่มีใครที่จะให้โอกาสที่ดีในการทำงานแก่เราหรอก
เราเองต่างหากที่จะต้องเปลี่ยน “ความฝัน” ให้เป็น “เป้าหมาย” ในชีวิตให้ได้
ถ้ามีความพยายามอยู่ตลอดเวลาย่อมประสบผลสำเร็จ “เป้าหมาย”
กับ “ความฝัน” ที่กลายเป็น
“ความต้องการที่ยิ่งใหญ่” จะหล่อหลอมเข้าเป็นตัวตนของคนคนนั้น
ไม่ว่าจะต้องพบกับความไม่มีเหตุผลสักแค่ไหน
หากสามารถมองมันในแง่บวกแล้วใช้เป็นกระจกเงาสะท้อนให้ก้าวกระโดดออกไปได้ย่อมประสบความสำเร็จ
สรุปสาระสำคัญ
– อยากยิ่งใหญ่ต้องใจหิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น