คิดและไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ ว่าจะเขียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนรอบๆตัว ในแนวศาสนาได้ไหม
บางอย่าง กับครอบครัว มันละเอียดอ่อน
บางอย่าง กับศาสนา ก็ยิ่งละเอียดอ่อน
แต่ไม่ว่า จะศาสนาไหนๆ ก็ล้วนสอนให้คน เป็นคนดี
หากไม่ถูกบิดเบือน ให้มันผิดเพี้ยนจนเกินไป
เรื่องของการปล่อยวาง ดูเหมือนว่ามันจะง่ายๆ ไม่ต้องมีการปฏิบัติอะไรมากมาย
เพราะแทบจะทุกอย่างของการปล่อยวาง ล้วนอยู่ที่จิตใจ ... จริงหรือ ?
ยกตัวอย่าง แม่ของผมเอง หรือ อาจจะคล้ายๆกับแม่ของใครๆอีกหลายคน
ความเป็นแม่ ย่อมห่วงลูก ( ไม่แพ้ความเป็นพ่อ ที่ห่วงลูกไม่ต่างกัน )
แม่ จะมีอะไรทำอยู่ตลอด เพื่อดูแลลูก แม้ลูกจะโตมาก-น้อย ขนาดไหนก็ตาม
แม่ จะห่วงลูก กลัวจะลำบาก อดอยาก ยากแค้น
แม่ จะคำนึงถึงอนาคตลูก ว่าจะไปทางไหน บั้นปลายจะเป็นอย่างไร
แม่ เมื่ออายุยังอยู่ในวัยทำงาน ก็คิด และสามารถปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง
แม่ เมื่อมีอายุมากขึ้น ลูกๆเติบโต ทำงาน มีครอบครัว ก็ควรจะต้องปล่อยวางให้มากขึ้น
แม่ของผม อายุก็ 60 กลางๆ แต่ก็ยังทำนู่น ทำนี่
ทั้งๆที่ลูกๆ ก็บอกให้เพลาๆ และ พักบ้าง
ลูกๆต่างรู้ ว่า สิ่งที่แม่คิด และ ทำ ล้วนแต่เพื่อลูก
แต่ ... นั่นเป็นการยึดถือ ยึดติด ไม่ปล่อยวาง
แม่กำลังแบกก้อนหินไว้ ก้อนหินที่แม่แบกไว้ตั้งแต่สมัยวัยทำงาน
เพื่อเงิน ?
- ลูกต่างมีฐานะที่ไม่ได้ยากจนอะไรมากมาย
เพื่อให้ลูกสบาย ?
- ลูกต่างเติบโต ทำงาน การดูแลชีวิตพื้นฐาน ทำเองได้ไม่ยาก
วัย และ สังขาร ของแม่นั้น ช่างไม่เหมือนก่อน
ผู้สูงอายุ ก็ไม่ควรหักโหมอะไรมากจนเกินกำลัง แบบที่ พอตกเย็นแล้ว อ่อนล้าเกินไป
สิ่งสำคัญของคนวัยนี้ คือ สุขภาพ
ไม่มีลูกคนไหน ยินดีที่จะเห็นแม่ช่วยทำงาน แล้วต้องป่วย รักษาตัวในโรงพยาบาล
บางเรื่องสำหรับแม่วัยขนาดนี้ ต้องปล่อยวาง ละ ทุกข์บางอย่างออกจากใจ
ลูกต่างทำงาน มีรายได้พอเลี้ยงตัวเอง และครอบครัว และพ่อแม่
- ปล่อยวางเรื่องเงิน และ รายได้ ลงเถอะ
ลูกต่างมีครอบครัว หรือ มีคนช่วยดูแลวิถีชีวิต
- ปล่อยวางเรื่องครอบครัวของลูก จะใช้ชีวิตกับใคร ไม่ต้องกังวลแล้ว
ค่อยๆทำใจ ปลดปล่อยก้อนหิน และ ความพะวงต่างๆ ออกไป ทีละน้อย ทีละน้อย
แม่จะได้พักมากขึ้น
พอปล่อยวางได้มากขึ้นอย่างถึงที่สุดแล้ว
แม่จะมีความสุข กับการปอกผลไม้ให้ลูก ให้หลาน
นั่งดูลูกหลาน ทำงาน เล่นซน
ความสุขจะเกิดในใจ เมื่อใจสุข กายก็จะสุขตาม
เรื่องเจ็บป่วยทางกาย โอกาสก็น้อยลง
เรื่องเจ็บป่วยทางใจ เมื่อแม่ทิ้งก้อนหินที่แบกไว้จนถึงจุดหนึ่ง
ใจจะสุข ใบหน้าจะมีแต่ความสุข
ลูกทุกคน ต่างก็หวังให้เป็นแบบนั้น
วางลงบ้างเถอะ ก้อนหิน และ ก้อนทุกข์ที่แบกไว้น่ะ
ค้นหาบล็อกนี้
วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557
เงาของศรัทธา - จ่ายเพื่อบุญ หรือ ละเพื่อบุญ
ในยุคสังคมออนไลน์ มีการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆมากมาย โดยเฉพาะ "ของฟรี"
มีเรื่องราวของฟรี ที่อยากจะยกตัวอย่าง เพื่อเทียบกับการทำบุญ การกุศล อย่างที่ชาวพุทธ นิยมกัน
เรื่องที่อยากจะยกตัวอย่างคือ "วัคซีนฟรี" และ "ยารักษามะเร็งฟรี"
วัคซีนไข้หวัดใหญ่
หน่วยงานของรัฐ หลายๆหน่วยงาน ได้มีการเผยแพร่ให้ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้รับวัคซีนฟรี
โดยในปี 2557 กระทรวงสาธาณสุข ได้จัดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ตามฤดูกาลให้ประชาชนฟรี จำนวน 3.4 ล้านโดส
โดยจะฉีดให้แก่ 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่
1.กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงสัมผัสโรคขณะดูแลผู้เจ็บป่วย
2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
3.กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
4.กลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี
5.กลุ่มผู้ป่วยทุกอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค ได้แก่ เบาหวาน, หลอดเลือดสมอง, ไตวาย, หอบหืด, ปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด
ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หากต้องการฉีดวัคซีน สามารถรับบริการที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชน แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามที่โรงพยาบาลกำหนด
กลับมาที่หัวข้อ คือ จ่ายเพื่อบุญ หรือ ละเพื่อบุญ
กลุ่มเสี่ยงทั้ง 5 กลุ่มนี้ ในแต่ละกลุ่ม ก็ย่อมมีทั้งคนที่มีฐานะ ดี ปานกลาง และ ยากจน คละกันไป
หากเราเอง อยู่ในฐานะที่มีอันจะกิน ไม่ได้เดือดร้อนในการจ่ายเงินค่าวัคซีน
คนที่มีอันจะกิน ไปทำบุญในแต่ละครั้ง จะทั้งทำบุญในวัด บริจาคโลงศพ บริจาคทาน ฯลฯ ก็ใช้เงินทั้งนั้น
เมื่อท่านจ่ายเงินเพื่อบุญนั้นๆ ท่านจะรู้สึกอิ่มเอิบ ภูมิใจ ในเวลานั้นๆเลย - อันนี้เข้าใจ
แต่เรื่องนี้ อยากให้ท่านๆ ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของการทำบุญ โดยไม่มีหน้าตา ความเอิบอิ่ม ให้ท่านได้รับตรงหน้าดังเดิม
หากท่านที่มีอันจะกิน ไปขอรับวัคซีนฟรี
พึงระลึกเสมอๆว่า ท่านได้เบียดบังโอกาสของผู้ยากไร้ ที่จะได้รับไป 1 สิทธิ หรือ 1 ชีวิต
เพียงแต่ ท่านไม่รู้ตัวเอง และมันไม่ได้เห็นผล ณ.เวลานั้นๆ เท่านั้นเอง
ท่านที่มีอันจะกิน
กราบเรียนให้เข้าโรงพยาบาล เพื่อรับการฉีดวัคซีน แบบเสียเงินเถอะครับ
วัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้น ราคาไม่แพงมาก ส่วนใหญ่ไม่ถึง 1 พันบาท ใน รพ.เอกชนทั่วไป
เก็บสิทธิ และโดสของวัคซีนฟรี ให้ผู้ยากจน ให้เขาได้รับอย่างทั่วถึงดีกว่า
ท่านอาจจะไม่ได้รับความอิ่มเอิบใจ ให้คนได้เห็น ได้รับรู้ แต่ท่านจะอิ่มเอิบกับบุญในใจ
ท่านได้ให้โอกาสในการช่วยชีวิตคน 1 คน ที่จะให้เขาได้รับยา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
หรือหากท่านคิดว่า การทำบุญกุศล มีเพียงรูปแบบที่ต้องให้ผู้คนเห็น ยินดี รับรู้ ก็ไม่ว่ากันครับ
- - เจริญพร - -
** แถมท้าย - ต้นปี 2557 ก็เคยมี โรงพยาบาลที่ประกาศแจกยาสมุนไพรโบราณรักษามะเร็ง
ปรากฎว่า คนแห่กันมาขอยา โดยไม่ได้ศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน
และก็เป็นการเบียดบังผู้ป่วย ที่ต้องการรับยาจริงๆ ให้ได้รับความเดือดร้อน
ท่านอาจจะทำบุญด้วยเงินมากมาย แต่มาเบียดบังจากผู้ยากไร้
ท่านคิดว่าท่าจะเอิบอิ่มใจด้วยบุญนั้นๆหรือ ??
มีเรื่องราวของฟรี ที่อยากจะยกตัวอย่าง เพื่อเทียบกับการทำบุญ การกุศล อย่างที่ชาวพุทธ นิยมกัน
เรื่องที่อยากจะยกตัวอย่างคือ "วัคซีนฟรี" และ "ยารักษามะเร็งฟรี"
วัคซีนไข้หวัดใหญ่
หน่วยงานของรัฐ หลายๆหน่วยงาน ได้มีการเผยแพร่ให้ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้รับวัคซีนฟรี
โดยในปี 2557 กระทรวงสาธาณสุข ได้จัดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ตามฤดูกาลให้ประชาชนฟรี จำนวน 3.4 ล้านโดส
โดยจะฉีดให้แก่ 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่
1.กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงสัมผัสโรคขณะดูแลผู้เจ็บป่วย
2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
3.กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
4.กลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี
5.กลุ่มผู้ป่วยทุกอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค ได้แก่ เบาหวาน, หลอดเลือดสมอง, ไตวาย, หอบหืด, ปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด
ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หากต้องการฉีดวัคซีน สามารถรับบริการที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชน แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามที่โรงพยาบาลกำหนด
กลับมาที่หัวข้อ คือ จ่ายเพื่อบุญ หรือ ละเพื่อบุญ
กลุ่มเสี่ยงทั้ง 5 กลุ่มนี้ ในแต่ละกลุ่ม ก็ย่อมมีทั้งคนที่มีฐานะ ดี ปานกลาง และ ยากจน คละกันไป
หากเราเอง อยู่ในฐานะที่มีอันจะกิน ไม่ได้เดือดร้อนในการจ่ายเงินค่าวัคซีน
จ่ายเพื่อบุญ --
คนที่มีอันจะกิน ไปทำบุญในแต่ละครั้ง จะทั้งทำบุญในวัด บริจาคโลงศพ บริจาคทาน ฯลฯ ก็ใช้เงินทั้งนั้น
เมื่อท่านจ่ายเงินเพื่อบุญนั้นๆ ท่านจะรู้สึกอิ่มเอิบ ภูมิใจ ในเวลานั้นๆเลย - อันนี้เข้าใจ
แต่เรื่องนี้ อยากให้ท่านๆ ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของการทำบุญ โดยไม่มีหน้าตา ความเอิบอิ่ม ให้ท่านได้รับตรงหน้าดังเดิม
หากท่านที่มีอันจะกิน ไปขอรับวัคซีนฟรี
พึงระลึกเสมอๆว่า ท่านได้เบียดบังโอกาสของผู้ยากไร้ ที่จะได้รับไป 1 สิทธิ หรือ 1 ชีวิต
เพียงแต่ ท่านไม่รู้ตัวเอง และมันไม่ได้เห็นผล ณ.เวลานั้นๆ เท่านั้นเอง
ละเพื่อบุญ -
ท่านที่มีอันจะกิน
กราบเรียนให้เข้าโรงพยาบาล เพื่อรับการฉีดวัคซีน แบบเสียเงินเถอะครับ
วัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้น ราคาไม่แพงมาก ส่วนใหญ่ไม่ถึง 1 พันบาท ใน รพ.เอกชนทั่วไป
เก็บสิทธิ และโดสของวัคซีนฟรี ให้ผู้ยากจน ให้เขาได้รับอย่างทั่วถึงดีกว่า
ท่านอาจจะไม่ได้รับความอิ่มเอิบใจ ให้คนได้เห็น ได้รับรู้ แต่ท่านจะอิ่มเอิบกับบุญในใจ
ท่านได้ให้โอกาสในการช่วยชีวิตคน 1 คน ที่จะให้เขาได้รับยา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
หรือหากท่านคิดว่า การทำบุญกุศล มีเพียงรูปแบบที่ต้องให้ผู้คนเห็น ยินดี รับรู้ ก็ไม่ว่ากันครับ
- - เจริญพร - -
** แถมท้าย - ต้นปี 2557 ก็เคยมี โรงพยาบาลที่ประกาศแจกยาสมุนไพรโบราณรักษามะเร็ง
ปรากฎว่า คนแห่กันมาขอยา โดยไม่ได้ศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน
และก็เป็นการเบียดบังผู้ป่วย ที่ต้องการรับยาจริงๆ ให้ได้รับความเดือดร้อน
ท่านอาจจะทำบุญด้วยเงินมากมาย แต่มาเบียดบังจากผู้ยากไร้
ท่านคิดว่าท่าจะเอิบอิ่มใจด้วยบุญนั้นๆหรือ ??
วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ร่วมทางกันอีกครั้ง ประจำ(ปลาย)ปี 2014 - ภูหัวฮ่อม
ทริปประจำปี ปลายปีที่แล้ว ผมคุยกับพี่ทนายไว้ว่า จะขอให้พี่ทนายคิดและกำหนดว่า (ปลาย)ปี 2014 นี้ จะไปไหน อย่างไร วันไหน
แต่สุดท้าย ก็อดรนทนไม่ไหว ต้องกำหนดการแบบคร่าวๆเอง (จากการสำรวจความคิดเพื่อนๆร่วมด้วย)
ได้แพลนว่า (ปลาย)ปี 2014 นี้ เราจะไป อช.ภูสวนทราย และ ภูหัวฮ่อม จ.เลย กัน
กำหนดการวางไว้ที่ 5-7 ธันวาคม 2014 ซึ่งเป็นหยุดเทศกาล แต่ปลายทางของเราไม่ใช่ที่ยอดนิยมเท่าไร
ก็คงจะไม่หนาแน่นสักเท่าไร
เริ่มเดินทางโดย
สาย กทม.-1 ผมมานอนที่บ้านไพศาลีก่อน ในวันที่ 4 เพราะนัดแนะครัวพี่พงษ์ และครัวพี่แบด (เพื่อนผู้เป็นสมาชิกใหม่ของทริป) ที่เส้นทางสาย 12 ช่วง อ.วังทอง พิษณุโลก
สายนครสวรรค์ ครัวพี่พงษ์ ครัวพี่แบด นัดกันเอง แล้วมาเจอจุดนัดที่ อ.วังทอง
สาย กทม.-2 ล้อโต และครัวพี่ห้าว (ผู้มีสมาชิกใหม่อีก 1 คน) จะออกจาก กทม.แล้วมาเจอกันแถวๆ อ.ด่านซ้าย จ.เลย
สายลำลูกกา (ไม่กล้าเอ่ยนามเขา) - ติดภารกิจ ฟิชโช่ มาแจมไม่ได้
วันที่ 5 ธันวาคม 2014
2 สายนี้ มีรถ 3 คัน Ford Ranger , Honda City , Toyata Yaris มาครบเวลา 11.00 น. ( ผมเองที่มาช้ากว่ากำหนดที่นัดเพื่อนๆ )
วิ่งตามเส้นทาง อ.นครไทย พิษณุโลก เข้า อ.ด่านซ้าย จ.เลย เส้นทางเป็นถนนราดยาด บนแนวภูเขาที่ไม่สูงชันมากมาย
3 คันนี้มาจอดกินข้าว ซื้อเสบียงตุนที่ อ.นาแห้ว จ.เลย
หลังจากเช็คสถานะของล้อโต จึงสรุปกันใหม่ว่า เรา 3 คัน จะขึ้นไปภูหัวฮ่อมก่อน เพื่อดูและเตรียมพื้นที่ ด้วยความกังวลว่าคนจะเยอะมากจนแออัด
เมื่อมาถึง ผู้คนไม่แออัดมากอย่างที่กังวล
นายแบบตัวน้อย กับป้ายสถานที่ ที่มาแบบโดดเดี่ยว เพื่อนๆวัยไล่เลี่ยกันไม่มาเลย
หลังจากกางเต๊นท์กันเสร็จสรรพ ล้อมวง ฝ่ายอาหาร ฝ่ายเครื่องดื่ม ฝ่ายจินตนาการ ก็บรรเลงหน้าที่ตัวเองอย่างพร้อมเพรียง
อันนี้ ฝั่งตะวันตก ฝั่งซ้ายมือ จะเป็นจุดชมวิว และ ถ่ายภาพ
และแน่นอน...จุดขาย ย่อมมีผู้คนไปถ่ายรูปกันมากมาย พอแทรกๆตัวไปได้ ไม่รบกวนแนวภาพของคนอื่นๆ ก็พอละ
จุดที่เรากางเต๊นท์เป็นจุดฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ประกอบกับต่างคนต่างทำหน้าที่ทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม แล้วก็ห่วงสนทนากันตามประสาเพื่อนๆ
จวนจนราว 16.00 สายล้อโต โทรมาบอกว่าถึงแล้ว แต่ปรากฎว่า สายนั้น ไปที่ภูสวนทราย เลยต้องวนกลับมาในจุดที่เรากางเต๊นท์กัน - เพื่อนๆเริ่มหิวแล้ว เพราะพ่อครัว พร้อมของกินแสนอร่อยอยู่ในรถล้อโต
ฟ้าเริ่มมืดลง และแล้ว .... พวกเขาก็มาครับ !!
Big (Dick) Bike 2-3 คันก็ขับแหกเข้ามาในพื้นที่กางเต๊นท์
ไม่ทราบว่า ไม่มีมารยาทอยู่ในตัวอยู่แล้ว หรือ ลืมตัว หรือ เห็นแก่ตัว หรือ ฯลฯ
ขับมาคงจะหาที่กางเต๊นท์ ผมได้แต่ครางว่า ...เฮ๊ย...เฮ๊ย...
ซึ่งพี่แก ก็คงไม่ได้ยิน เพราะรถแกเสียงดังเหลือเกิน
เอ่อ....ทำใจครับ มารยาทดีก็มี มารยาททราม ก็หลาย.....
----
วันที่ 6 ธันวาคม 2014
เราต่างตื่นกันแต่เช้า หาอะไรกิน นั่งนิ่งๆ สงบจิต หยุดเรื่องเครียดๆ เพื่อเสพความสงบให้เต็มที่
แม้จะมีผู้คนจากฝั่งพระอาทิตย์ตกมาเดินชมวิวฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ก็เพลินตา เพลินใจดี
และที่นี่ ไม่มีนักท่องเที่ยวแนวลบ มารบกวนใจ
เพื่อนๆหลายคนทยอยไปเข้าห้องน้ำ และแน่นอนว่า คนเยอะ น้ำย่อมไม่พอ ทำให้น้ำบางช่วงเป็นสีขุ่น นั่นก็เป็นเหตุผลเล็กๆ ที่ผมเอามาอ้าง ในการไม่อาบน้ำในเช้านั้น
อากาศไม่หนาวอย่างที่ต้องการ หมอกไม่จัด แต่ก็เย็นๆพอจะใส่เสื้อแขนยาวสักตัว
เราต่างรอลุ้นว่า เมื่อแสงแดดเริ่มมา จะทำให้หมอกเริ่มก่อตัวขึ้นบ้าง
แต่.....ก็มีแค่บางๆ ให้พอรู้ว่ามีบ้าง ... ก็ยังดี เหมือนเพื่อนๆด้านล่าง
บ้างอยู่ใกล้ อยู่ไกล แต่ก็พยายามมาเจอกัน แบบบรรยากาศพักผ่อน
พอสายๆ เราเริ่มเดินทางออกจากภูหัวฮ่อม เป้าหมายต่อไป คือ ผาตัด เพชรบูรณ์ ที่ไม่รู้รายละเอียดมาก
รู้แต่ว่า ไม่มีห้องน้ำ แล้วก็อยากไป แล้วก็คิดว่า คนน้อย ไม่แออัด
ณ.จุดๆนี้ .... พวกเราเริ่มกล่อม Yaris ให้ไปแจมด้วยกัน โดยหาที่จอดรถ City และ Yaris ไว้ที่ บ้านเข็กน้อย
โดยแลกกับการจอดรถข้างทาง เพื่อให้ Yaris ถ่ายรูป....OK ขอโทษเพื่อนร่วมทางนะครับ
ขอเอาใจเพื่อน ด้วยการขีดขวางทางเล็กๆ สัก 5 นาที (รถไม่มาก จึงหน้าด้าน..ขอจอดรถสักครู่)
ออกจาก นาแห้ว เข้าด่านซ้าย แวะกินข้าวร้าน กิ๊ฟก๊าฟ ตรงสามแยก
เดินไปมาเห็นรูปพบว่า ร้านนี้ ทำอาหารถวายพระเทพฯ หลายครั้งมาก เจ้าของร้านก็มายืนคุยกับเราอย่างภาคภูมิใจ ที่ได้ใกล้ชิดพระเทพฯ
หลังจากนั้น ก็มาตามเส้นทางเดิม เข้ามาบรรจบถนนสาย 12 ซึ่งกำลังทำทางอยู่เป็นระยะ
พวกเรามุ่งหน้าสู่ จ.เพชรบูรณ์ แต่เลี้ยวซ้ายเข้าทางบ้านเข็กน้อย เพื่อค้นหาทางไป "ผาตัด"
City และ Yaris จอดที่หน่วยงานทหารในเข็กน้อย ถ่ายสัมภาระใส่ ล้อโต และ Ranger
ไปหา "ผาตัด" เอาข้างหน้า
"ผาตัด" เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวแนว 4 Wheel Drive นิยมมากัน โดยเฉพาะหน้าฝน เนื่องจากถนน และทัศนียภาพ ดึงดูใจ แต่ก็แลกกับความเสียหายของถนน
อบต. บอกพวกเราว่า ตอนนี้ รถขับ 2 อย่าง Ranger ไม่ควรเข้าไป เพราะยังไม่ได้ใช้รถเกลี่ยทำทาง ให้เสมอกัน ถนนยังเป็นดินร่องลึก จากการถูกตะกุยด้วยล้อรถ และกำลังรถยนต์
แม้จะไม่มีฝน ก็ยังไม่สมควรเข้าไป
พวกเราเลยเปลี่ยนแผน ไปที่ผาตั้วเพ้ง ที่อยู่ในเส้นทางแนวเดียวกัน
ก็ที่จุดที่เป็นหน้าผาลิบๆตานั่นแหละ
แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง จึงทำให้เราจอดรถ สำรวจวิวรอบๆ และเดินทางย้อนกลับไปนิดหน่อย เพื่อกางเต๊นท์นอนในจุดทีี่ ทุกคนสบายใจ ดีกว่า ที่นี่ครับ
แต่จุดนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่ทางราชการอยู่แล้ว พวกเราจึงบอกชาวบ้านตรงนั้น ซึ่งก็คิดว่าเป็นพลเรือน ที่ช่วยดูแลแทน แล้วก็จัดเตรียมพื้นที่กัน และแน่นอน....ไม่มีห้องน้ำ
นอกจากห้องน้ำชาวบ้าน ซึ่ง....เหนือคำบรรยาย จริงๆ
อากาศมีเมฆฝนมาบ้าง ทำให้ลุ้นกันว่าฝนจะ ตก - ไม่ตก
และแล้ว...ฝนก็มา แต่ไม่หนักมาก แค่ทักทาย คงยังเกรงใจว่า
นี่มันเดือนธันวาคม นี่มันฤดูหนาว
เมื่อฝนจากไป ท้องฟ้าสดใส ก็ตามมา ... แหม ... ยังกับเพลง
พวกเราเก็บของหลบฝนกันเล็กน้อย ให้เกียรติสายฝน
เป็นการตอบแทนที่สายฝนนั้น ให้เกียรติฤดูหนาว เช่นกัน....
เราต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน - เหมือนจะเพ้อแฮะ
ค่ำคืนแบบไม่มีไฟฟ้า ไม่มีห้องน้ำ ผ่านไปแบบสงบเสงี่ยม
มีเพียง พี่ห้าว ที่ตื่นตี 3 เพื่อมาต้มข้าวต้มให้เพื่อนๆ โดยแกคิดว่า ใกล้เช้า
โดยฟังสัญญาณนาฬิกา จากชาวม้ง
"กูได้ยินเสียงชาวบ้านคุยกัน มันกลับจากหากบ ก็เลยคิดว่าเช้าแล้ว"
ข้าวต้มเช้าวันที่ 7 ธันวาคม 2014 อาจจะอืดไปนิดหน่อย แต่ก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ก็เป็นผม เจ้าเดิมที่ตื่นเช้าๆ มาเดินสำรวจรอบๆบริเวณ
ต่างกันตรงที่เช้านี้ มีแต่พวกเราในพื้นที่แถวนั้น แสงที่เห็นเป็นพระจันทร์ที่สาดแสงนำทาง
ผมมักจะเลือกทริปประจำปี ให้ใกล้เคียงพระจันทร์ที่กำลังสุกสว่าง
ด้วยเหตุผลส่วนตัว คือ น้ำทะเล จะใสในช่วงนั้น - เหตุผลดื้อๆ ที่ไม่เหมือนเหตุผล
จริงๆแล้ว แค่เห็นแล้ว มันสงบดี
เดินขึ้นไปถึงถังน้ำขนาดใหญ่ของหมู่บ้าน
เดินขึ้นไปถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ไม่ไกล แต่ชันเหลือเกิน
มองไปรอบๆ เป็นเขาหัวโล้นสักประมาณ 50% ของพื้นที่
การบุกรุกทำลาย ยังถือว่า น้อยเมื่อเทียบกับภูเขาที่ จ.น่าน
แต่หากเทียบกับสิ่งที่ควรจะเป็น บนภูเขาควรมีต้นไม้ ไม่ใช่หรือ ??
แง่มุมที่ได้ และจะต้องเก็บไปคิดประจำทริปนี้ คือ
"พวกเราก็อายุมากขึ้น เงินทองก็พอมี ทำไมเราไม่เที่ยวให้สะดวกกว่านี้ ??"
หากจะสะดวกสบาย พักที่พักดีๆหน่อย จะเป็นทริปคั่นเวลา ที่สามารถเกิดได้ตลอดปี
แต่แง่มุมนี้ ก็รับมาคิด แล้วเราก็เกริ่นๆ โยนก้อนหินถามทางไปว่า
"ปีหน้า...อาจจะไปกางเต๊นท์นอนในรีสอร์ท ที่อยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรี"
น่าจะพักกันแบบสบายๆ ในบรรยากาศแคมป์ปิ้ง อาจจะแถมด้วยอาบน้ำแร่ที่หนองหญ้าปล้อง
เผื่อว่า ปีหน้า จะมีสมาชิกหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก ... แล้วเจอกันครับ เพื่อนๆ 60
แต่สุดท้าย ก็อดรนทนไม่ไหว ต้องกำหนดการแบบคร่าวๆเอง (จากการสำรวจความคิดเพื่อนๆร่วมด้วย)
ได้แพลนว่า (ปลาย)ปี 2014 นี้ เราจะไป อช.ภูสวนทราย และ ภูหัวฮ่อม จ.เลย กัน
กำหนดการวางไว้ที่ 5-7 ธันวาคม 2014 ซึ่งเป็นหยุดเทศกาล แต่ปลายทางของเราไม่ใช่ที่ยอดนิยมเท่าไร
ก็คงจะไม่หนาแน่นสักเท่าไร
เริ่มเดินทางโดย
สาย กทม.-1 ผมมานอนที่บ้านไพศาลีก่อน ในวันที่ 4 เพราะนัดแนะครัวพี่พงษ์ และครัวพี่แบด (เพื่อนผู้เป็นสมาชิกใหม่ของทริป) ที่เส้นทางสาย 12 ช่วง อ.วังทอง พิษณุโลก
สายนครสวรรค์ ครัวพี่พงษ์ ครัวพี่แบด นัดกันเอง แล้วมาเจอจุดนัดที่ อ.วังทอง
สาย กทม.-2 ล้อโต และครัวพี่ห้าว (ผู้มีสมาชิกใหม่อีก 1 คน) จะออกจาก กทม.แล้วมาเจอกันแถวๆ อ.ด่านซ้าย จ.เลย
สายลำลูกกา (ไม่กล้าเอ่ยนามเขา) - ติดภารกิจ ฟิชโช่ มาแจมไม่ได้
วันที่ 5 ธันวาคม 2014
2 สายนี้ มีรถ 3 คัน Ford Ranger , Honda City , Toyata Yaris มาครบเวลา 11.00 น. ( ผมเองที่มาช้ากว่ากำหนดที่นัดเพื่อนๆ )
วิ่งตามเส้นทาง อ.นครไทย พิษณุโลก เข้า อ.ด่านซ้าย จ.เลย เส้นทางเป็นถนนราดยาด บนแนวภูเขาที่ไม่สูงชันมากมาย
3 คันนี้มาจอดกินข้าว ซื้อเสบียงตุนที่ อ.นาแห้ว จ.เลย
หลังจากเช็คสถานะของล้อโต จึงสรุปกันใหม่ว่า เรา 3 คัน จะขึ้นไปภูหัวฮ่อมก่อน เพื่อดูและเตรียมพื้นที่ ด้วยความกังวลว่าคนจะเยอะมากจนแออัด
เมื่อมาถึง ผู้คนไม่แออัดมากอย่างที่กังวล
นายแบบตัวน้อย กับป้ายสถานที่ ที่มาแบบโดดเดี่ยว เพื่อนๆวัยไล่เลี่ยกันไม่มาเลย
หลังจากกางเต๊นท์กันเสร็จสรรพ ล้อมวง ฝ่ายอาหาร ฝ่ายเครื่องดื่ม ฝ่ายจินตนาการ ก็บรรเลงหน้าที่ตัวเองอย่างพร้อมเพรียง
อันนี้ ฝั่งตะวันตก ฝั่งซ้ายมือ จะเป็นจุดชมวิว และ ถ่ายภาพ
และแน่นอน...จุดขาย ย่อมมีผู้คนไปถ่ายรูปกันมากมาย พอแทรกๆตัวไปได้ ไม่รบกวนแนวภาพของคนอื่นๆ ก็พอละ
จุดที่เรากางเต๊นท์เป็นจุดฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ประกอบกับต่างคนต่างทำหน้าที่ทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม แล้วก็ห่วงสนทนากันตามประสาเพื่อนๆ
จวนจนราว 16.00 สายล้อโต โทรมาบอกว่าถึงแล้ว แต่ปรากฎว่า สายนั้น ไปที่ภูสวนทราย เลยต้องวนกลับมาในจุดที่เรากางเต๊นท์กัน - เพื่อนๆเริ่มหิวแล้ว เพราะพ่อครัว พร้อมของกินแสนอร่อยอยู่ในรถล้อโต
ฟ้าเริ่มมืดลง และแล้ว .... พวกเขาก็มาครับ !!
Big (Dick) Bike 2-3 คันก็ขับแหกเข้ามาในพื้นที่กางเต๊นท์
ไม่ทราบว่า ไม่มีมารยาทอยู่ในตัวอยู่แล้ว หรือ ลืมตัว หรือ เห็นแก่ตัว หรือ ฯลฯ
ขับมาคงจะหาที่กางเต๊นท์ ผมได้แต่ครางว่า ...เฮ๊ย...เฮ๊ย...
ซึ่งพี่แก ก็คงไม่ได้ยิน เพราะรถแกเสียงดังเหลือเกิน
เอ่อ....ทำใจครับ มารยาทดีก็มี มารยาททราม ก็หลาย.....
----
วันที่ 6 ธันวาคม 2014
เราต่างตื่นกันแต่เช้า หาอะไรกิน นั่งนิ่งๆ สงบจิต หยุดเรื่องเครียดๆ เพื่อเสพความสงบให้เต็มที่
แม้จะมีผู้คนจากฝั่งพระอาทิตย์ตกมาเดินชมวิวฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ก็เพลินตา เพลินใจดี
และที่นี่ ไม่มีนักท่องเที่ยวแนวลบ มารบกวนใจ
เพื่อนๆหลายคนทยอยไปเข้าห้องน้ำ และแน่นอนว่า คนเยอะ น้ำย่อมไม่พอ ทำให้น้ำบางช่วงเป็นสีขุ่น นั่นก็เป็นเหตุผลเล็กๆ ที่ผมเอามาอ้าง ในการไม่อาบน้ำในเช้านั้น
อากาศไม่หนาวอย่างที่ต้องการ หมอกไม่จัด แต่ก็เย็นๆพอจะใส่เสื้อแขนยาวสักตัว
เราต่างรอลุ้นว่า เมื่อแสงแดดเริ่มมา จะทำให้หมอกเริ่มก่อตัวขึ้นบ้าง
แต่.....ก็มีแค่บางๆ ให้พอรู้ว่ามีบ้าง ... ก็ยังดี เหมือนเพื่อนๆด้านล่าง
พอสายๆ เราเริ่มเดินทางออกจากภูหัวฮ่อม เป้าหมายต่อไป คือ ผาตัด เพชรบูรณ์ ที่ไม่รู้รายละเอียดมาก
รู้แต่ว่า ไม่มีห้องน้ำ แล้วก็อยากไป แล้วก็คิดว่า คนน้อย ไม่แออัด
ณ.จุดๆนี้ .... พวกเราเริ่มกล่อม Yaris ให้ไปแจมด้วยกัน โดยหาที่จอดรถ City และ Yaris ไว้ที่ บ้านเข็กน้อย
โดยแลกกับการจอดรถข้างทาง เพื่อให้ Yaris ถ่ายรูป....OK ขอโทษเพื่อนร่วมทางนะครับ
ขอเอาใจเพื่อน ด้วยการขีดขวางทางเล็กๆ สัก 5 นาที (รถไม่มาก จึงหน้าด้าน..ขอจอดรถสักครู่)
ออกจาก นาแห้ว เข้าด่านซ้าย แวะกินข้าวร้าน กิ๊ฟก๊าฟ ตรงสามแยก
เดินไปมาเห็นรูปพบว่า ร้านนี้ ทำอาหารถวายพระเทพฯ หลายครั้งมาก เจ้าของร้านก็มายืนคุยกับเราอย่างภาคภูมิใจ ที่ได้ใกล้ชิดพระเทพฯ
หลังจากนั้น ก็มาตามเส้นทางเดิม เข้ามาบรรจบถนนสาย 12 ซึ่งกำลังทำทางอยู่เป็นระยะ
พวกเรามุ่งหน้าสู่ จ.เพชรบูรณ์ แต่เลี้ยวซ้ายเข้าทางบ้านเข็กน้อย เพื่อค้นหาทางไป "ผาตัด"
City และ Yaris จอดที่หน่วยงานทหารในเข็กน้อย ถ่ายสัมภาระใส่ ล้อโต และ Ranger
ไปหา "ผาตัด" เอาข้างหน้า
"ผาตัด" เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวแนว 4 Wheel Drive นิยมมากัน โดยเฉพาะหน้าฝน เนื่องจากถนน และทัศนียภาพ ดึงดูใจ แต่ก็แลกกับความเสียหายของถนน
อบต. บอกพวกเราว่า ตอนนี้ รถขับ 2 อย่าง Ranger ไม่ควรเข้าไป เพราะยังไม่ได้ใช้รถเกลี่ยทำทาง ให้เสมอกัน ถนนยังเป็นดินร่องลึก จากการถูกตะกุยด้วยล้อรถ และกำลังรถยนต์
แม้จะไม่มีฝน ก็ยังไม่สมควรเข้าไป
พวกเราเลยเปลี่ยนแผน ไปที่ผาตั้วเพ้ง ที่อยู่ในเส้นทางแนวเดียวกัน
ก็ที่จุดที่เป็นหน้าผาลิบๆตานั่นแหละ
แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง จึงทำให้เราจอดรถ สำรวจวิวรอบๆ และเดินทางย้อนกลับไปนิดหน่อย เพื่อกางเต๊นท์นอนในจุดทีี่ ทุกคนสบายใจ ดีกว่า ที่นี่ครับ
แต่จุดนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่ทางราชการอยู่แล้ว พวกเราจึงบอกชาวบ้านตรงนั้น ซึ่งก็คิดว่าเป็นพลเรือน ที่ช่วยดูแลแทน แล้วก็จัดเตรียมพื้นที่กัน และแน่นอน....ไม่มีห้องน้ำ
นอกจากห้องน้ำชาวบ้าน ซึ่ง....เหนือคำบรรยาย จริงๆ
อากาศมีเมฆฝนมาบ้าง ทำให้ลุ้นกันว่าฝนจะ ตก - ไม่ตก
และแล้ว...ฝนก็มา แต่ไม่หนักมาก แค่ทักทาย คงยังเกรงใจว่า
นี่มันเดือนธันวาคม นี่มันฤดูหนาว
เมื่อฝนจากไป ท้องฟ้าสดใส ก็ตามมา ... แหม ... ยังกับเพลง
พวกเราเก็บของหลบฝนกันเล็กน้อย ให้เกียรติสายฝน
เป็นการตอบแทนที่สายฝนนั้น ให้เกียรติฤดูหนาว เช่นกัน....
เราต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน - เหมือนจะเพ้อแฮะ
ค่ำคืนแบบไม่มีไฟฟ้า ไม่มีห้องน้ำ ผ่านไปแบบสงบเสงี่ยม
มีเพียง พี่ห้าว ที่ตื่นตี 3 เพื่อมาต้มข้าวต้มให้เพื่อนๆ โดยแกคิดว่า ใกล้เช้า
โดยฟังสัญญาณนาฬิกา จากชาวม้ง
"กูได้ยินเสียงชาวบ้านคุยกัน มันกลับจากหากบ ก็เลยคิดว่าเช้าแล้ว"
ข้าวต้มเช้าวันที่ 7 ธันวาคม 2014 อาจจะอืดไปนิดหน่อย แต่ก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ก็เป็นผม เจ้าเดิมที่ตื่นเช้าๆ มาเดินสำรวจรอบๆบริเวณ
ต่างกันตรงที่เช้านี้ มีแต่พวกเราในพื้นที่แถวนั้น แสงที่เห็นเป็นพระจันทร์ที่สาดแสงนำทาง
ผมมักจะเลือกทริปประจำปี ให้ใกล้เคียงพระจันทร์ที่กำลังสุกสว่าง
ด้วยเหตุผลส่วนตัว คือ น้ำทะเล จะใสในช่วงนั้น - เหตุผลดื้อๆ ที่ไม่เหมือนเหตุผล
จริงๆแล้ว แค่เห็นแล้ว มันสงบดี
เดินขึ้นไปถึงถังน้ำขนาดใหญ่ของหมู่บ้าน
เดินขึ้นไปถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ไม่ไกล แต่ชันเหลือเกิน
มองไปรอบๆ เป็นเขาหัวโล้นสักประมาณ 50% ของพื้นที่
การบุกรุกทำลาย ยังถือว่า น้อยเมื่อเทียบกับภูเขาที่ จ.น่าน
แต่หากเทียบกับสิ่งที่ควรจะเป็น บนภูเขาควรมีต้นไม้ ไม่ใช่หรือ ??
แง่มุมที่ได้ และจะต้องเก็บไปคิดประจำทริปนี้ คือ
"พวกเราก็อายุมากขึ้น เงินทองก็พอมี ทำไมเราไม่เที่ยวให้สะดวกกว่านี้ ??"
หากจะสะดวกสบาย พักที่พักดีๆหน่อย จะเป็นทริปคั่นเวลา ที่สามารถเกิดได้ตลอดปี
แต่แง่มุมนี้ ก็รับมาคิด แล้วเราก็เกริ่นๆ โยนก้อนหินถามทางไปว่า
"ปีหน้า...อาจจะไปกางเต๊นท์นอนในรีสอร์ท ที่อยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรี"
น่าจะพักกันแบบสบายๆ ในบรรยากาศแคมป์ปิ้ง อาจจะแถมด้วยอาบน้ำแร่ที่หนองหญ้าปล้อง
เผื่อว่า ปีหน้า จะมีสมาชิกหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก ... แล้วเจอกันครับ เพื่อนๆ 60
วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557
นัดเปิดสนาม Liverpool 2014-2015 กับหนุ่มน้อย J. Manquillo
ไม่ค่อยได้เขียนถึงทีมรักสักเท่าไร เพราะว่า ไม่ใช่กูรู หรือ ผู้เชี่ยวชาญเชิงลึกสักเท่าไร กับฟุตบอล English Premier League
ก็เพราะว่า ทีมรักยังไม่ได้แชมป์ League สูงสุดสักที
แม้จะรอมานานนับสิบปี แต่ก็มีความหวัง และ กำลังใจที่จะลุ้นอยู่เสมอ
Liverpool ฤดูกาล 2014-2015 มีการเสริมทัพอย่างมากมาย
ด้วยความหวังว่า อันดับจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
แต่สิ่งสำคัญคือการเสีย Luis Suarez แม้จะได้เงินมามหาศาล
แต่ผู้เล่นที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนเกมนั้น หาไม่ได้ง่ายๆ
มาว่ากันที่หนุ่มน้อย ที่อยากจะพูดถึง พ่อหนุ่มคนนี้ชื่อว่า "Javier Manquillo Gait'an"
หรือเรียกง่ายๆ "มานควิญโญ่" หรือ อาจจะเรียก "มาโย่!" ก็แล้วแต่สะดวกกัน
แวบแรกที่เห็น(เพียง 2 แมทช์ : 1 อุ่นเครื่อง + 1 ทางการ) ทรงบอล การจับ สไตล์การเล่นทำให้ผมนึกถึงพ่อหนุ่มขวัญใจผมอีกคนหนึ่งที่ชื่อ "Vegard Heggem"
ลองมาเทียบๆกันดูหน่อย ว่า 2 หนุ่ม 2 ยุคสมัยต่างกันที่ภายนอกอย่างไร
วัน-เดือน-ปี เกิด ** Manquillo : 05 May 1994 / Haggem : 13 July 1975
ชาติ ** Manquillo : Spain / Haggem : Norway
สูง ** Manquillo : 180 Cm / Haggem : 179 Cm.
หนุ่มน้อย Manquillo เปิดตัวในแมทช์อย่างเป็นทางการ 17 สิงหาคม 2014 ในการเจอกับ Southamton การเล่นใน Premier League นัดนี้ เป็นการเรียนรู้จริงๆ ว่า ฟุตบอลอังกฤษนั้น เล่นอยางไร ภาพรวมของ แมทช์นี้ ถือว่า ผ่าน
ช่วง 45 นาทีแรก หนุ่มน้อย Manquillo เจอกับการเล่นไสตล์อังกฤษที่เร็ว แรง
เจอการปะทะหนักๆ การครองบอลที่เผลอ หรือ ช้าไม่ได้ ผมคิดว่า หนุ่มน้อย Manquillo คงไม่คุ้นเคยเป็นแน่ เพราะดูจากการเก็บบอล บังบอล หรือ จ่ายบอลไปข้างหน้า ยังเหมือนไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร
นอกจากการลื่นในสนาม 1 ครั้งในช่วง 45 นาทีแรก
และการโดน 1 ใบเหลือง จากการเข้าปะทะช้าไปนิดเดียว
ผ่าน 45 นาทีแรกไป หนุ่มน้อย Manquillo ก็พอปรับตัวได้ดีขึ้น รู้ทางบอลอังกฤษมากขึ้น
การขึ้นเติมเกม ทำได้ถือว่า สอบผ่าน
การลงมาช่วยในเกมรับ อาจจะไม่ทันจังหวะบอลบ้าง
แต่ดูแล้ว มีอนาคต ถ้าไม่เจออาการบาดเจ็บเล่นงานแบบที่ Vegard Heggem เคยเป็น
นี่อาจจะเป็น Right Back ที่น่าจะมีอนาคต
ที่ต้นทุนไม่สูง (มาจากการยืมตัว และข้อเสนอซื้อเข้าทีมที่ 5 ล้านปอนด์)
เอาใจช่วย ทั้งหนุ่มน้อย Manquillo และ Liverpool เสมอครับ
จะว่าไป ก็คิดถึง Vegard Heggem เหมือนกัน คงต้องไปหาดูภาพการแข่งเก่าๆดูซะหน่อยละ
ก็เพราะว่า ทีมรักยังไม่ได้แชมป์ League สูงสุดสักที
แม้จะรอมานานนับสิบปี แต่ก็มีความหวัง และ กำลังใจที่จะลุ้นอยู่เสมอ
Liverpool ฤดูกาล 2014-2015 มีการเสริมทัพอย่างมากมาย
ด้วยความหวังว่า อันดับจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
แต่สิ่งสำคัญคือการเสีย Luis Suarez แม้จะได้เงินมามหาศาล
แต่ผู้เล่นที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนเกมนั้น หาไม่ได้ง่ายๆ
มาว่ากันที่หนุ่มน้อย ที่อยากจะพูดถึง พ่อหนุ่มคนนี้ชื่อว่า "Javier Manquillo Gait'an"
หรือเรียกง่ายๆ "มานควิญโญ่" หรือ อาจจะเรียก "มาโย่!" ก็แล้วแต่สะดวกกัน
แวบแรกที่เห็น(เพียง 2 แมทช์ : 1 อุ่นเครื่อง + 1 ทางการ) ทรงบอล การจับ สไตล์การเล่นทำให้ผมนึกถึงพ่อหนุ่มขวัญใจผมอีกคนหนึ่งที่ชื่อ "Vegard Heggem"
ลองมาเทียบๆกันดูหน่อย ว่า 2 หนุ่ม 2 ยุคสมัยต่างกันที่ภายนอกอย่างไร
วัน-เดือน-ปี เกิด ** Manquillo : 05 May 1994 / Haggem : 13 July 1975
ชาติ ** Manquillo : Spain / Haggem : Norway
สูง ** Manquillo : 180 Cm / Haggem : 179 Cm.
หนุ่มน้อย Manquillo เปิดตัวในแมทช์อย่างเป็นทางการ 17 สิงหาคม 2014 ในการเจอกับ Southamton การเล่นใน Premier League นัดนี้ เป็นการเรียนรู้จริงๆ ว่า ฟุตบอลอังกฤษนั้น เล่นอยางไร ภาพรวมของ แมทช์นี้ ถือว่า ผ่าน
ช่วง 45 นาทีแรก หนุ่มน้อย Manquillo เจอกับการเล่นไสตล์อังกฤษที่เร็ว แรง
เจอการปะทะหนักๆ การครองบอลที่เผลอ หรือ ช้าไม่ได้ ผมคิดว่า หนุ่มน้อย Manquillo คงไม่คุ้นเคยเป็นแน่ เพราะดูจากการเก็บบอล บังบอล หรือ จ่ายบอลไปข้างหน้า ยังเหมือนไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร
นอกจากการลื่นในสนาม 1 ครั้งในช่วง 45 นาทีแรก
และการโดน 1 ใบเหลือง จากการเข้าปะทะช้าไปนิดเดียว
ผ่าน 45 นาทีแรกไป หนุ่มน้อย Manquillo ก็พอปรับตัวได้ดีขึ้น รู้ทางบอลอังกฤษมากขึ้น
การขึ้นเติมเกม ทำได้ถือว่า สอบผ่าน
การลงมาช่วยในเกมรับ อาจจะไม่ทันจังหวะบอลบ้าง
แต่ดูแล้ว มีอนาคต ถ้าไม่เจออาการบาดเจ็บเล่นงานแบบที่ Vegard Heggem เคยเป็น
นี่อาจจะเป็น Right Back ที่น่าจะมีอนาคต
ที่ต้นทุนไม่สูง (มาจากการยืมตัว และข้อเสนอซื้อเข้าทีมที่ 5 ล้านปอนด์)
เอาใจช่วย ทั้งหนุ่มน้อย Manquillo และ Liverpool เสมอครับ
จะว่าไป ก็คิดถึง Vegard Heggem เหมือนกัน คงต้องไปหาดูภาพการแข่งเก่าๆดูซะหน่อยละ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)