วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ เพื่อการส่งออก ต้องมีการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการส่งออก !
ก่อนอื่น ต้องเริ่มต้นด้วยการบอกความหมายของ คำที่ใช้ในมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กันก่อน
อาจจะออกวิชาการบ้าง แต่จะเคาะๆๆๆ ให้ไม่วิชาการมากเกินแล้วกัน
คำที่ควรจะรู้คือ มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการสุขอนามัยพืช
[International Standard for Phytosanitary Measures No.15 : Guidelines for Regulating Wood Packaging Material in International Trade ]
เอาแบบเข้าใจกันด้วยภาษาง่ายๆ คือ
สินค้าที่มีวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ เพื่อการส่งออกนั้น ต้องมีการกำจัดศัตรูพืช ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
ไอ้วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ เพื่อการส่งออกที่ว่าเนี่ย ... ไม่รวมถึง วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ที่ผลิตจากไม้แปรรูป วัตถุดิบไม้ที่มีความหนาไม่เกิน 6 มิลลิเมตร
** ย้ำ !!! ว่า ไม่เกิน 6 มม. นะครับ ไม้อัดบางขนาดจะหนาเกิน ต้องระมัดระวังให้ดี อย่าสับสน !!
และผลพลอยได้จากไม้ ได้แก่ ไส้ไม้ [Veneer Peeler Core] ขี้เลี่อย [Sawdust] ฝอยไม้ [Wood Wool] ขี้กบ [Shaving] เนื่องจากวัสดุเหล่านี้ทำให้โอกาสที่แมลงศัตรูไม้เข้าสู่ประเทศผู้นำเข้าได้น้อยมาก
การควบคุมเพื่อกำจัดศัตรูพืช ทำได้โดยวิธีการใด วิธีการหนึ่ง ดังนี้
1. อบด้วยความร้อน หรือเราเรียกกันว่า Heat Treatment มันคือการอบไม้ด้วยความร้อน จนแกนกลางของไม้ได้รับความร้อนไม่น้อยกว่า 56 องศาเซลเซียส เป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 30 นาที
ซึ่งในการวัดอุณหภูมินั้น
ต้องวัดที่แกนกลางไม้ ไม่ใช่วัดเพียงแค่ผิวนอกของเนื้อไม้
ย้ำ!! อีกครั้ง ว่า วัดที่แกนกลางของไม้
ต้องเจาะเข้าไป เอาเครื่องมือวัดที่แกนกลาง หลายรายวัดค่าผิด หรือ เข้าใจความหมายเพี้ยนไป
2. รมด้วยเมธิลโบรไมล์
อุณหภูมิ | อัตราที่ใช้ | ความเข้มข้นขั้นต่ำที่วัดได้เมื่อเวลาผ่านไป |
| กรัม / ลบ.เมตร | กรัม / ลบ.เมตร |
|
| 2 ชั่วโมง | 4 ชั่วโมง | 12 ชั่วโมง | 24 ชั่วโมง |
21°C or above | 48 | 36 | 31 | 28 | 24 |
16°C or above | 56 | 42 | 36 | 32 | 28 |
10°C or above | 64 | 48 | 42 | 36 | 32 |
วิธีการจำง่ายๆ ก็คือ บ้านเรา อุณหภูมิสูงเกิน 21°C อยู่แล้ว เพราะจำนั้น จำแค่ตัวเดียว คือเกิน 21°C
จำง่ายๆ อีกอย่างคือ ปล่อยความเข้มข้นของ MB ที่ 48 กรัม เมื่อ 24 ชั่วโมงผ่านไป ต้องได้ค่ามากกว่า 50% ก็คือ 24 กรัม.
เพราะฉะนั้น จำง่ายๆ "ปล่อยที่ 48 กรัม ครบ 24 ชม. ต้องวัดได้มากกว่า 24 กรัม."
ไม้ที่ผ่านการ Fumigated ต้องประทับตรา ที่ได้รับอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร เพื่อบ่งบอกว่า ไม้นั้นได้ผ่านการ Fumigated ถูกต้องตามหลักเกณฑ์แล้ว
พีงระลึกเสมอว่า
ตราประทับเป็นของบริษัท แต่สิทธิเป็นของกรมวิชาการเกษตร
ทางกรมวิชาการเกษตร สามารถเพิกถอนใบอนุญาตได้ หาก บริษัทไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้
ผู้ที่จะได้ตรานั้น ต้องเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรเท่านั้น
ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบ ข้อมูลการ Fumigated จากกรมวิชาการเกษตรตลอดเวลา
แล้วไอ้ตราประทับที่ว่านี้ แต่ละบริษัท ก็จะมีหมายเลขของตัวเอง ที่ได้ลงทะเบียนไว้
อ้าว...ร่ายมาซะยาว แล้วเกี่ยวอะไรกับรัฐบาลนี้ล่ะ
งั้นต้องเกริ่นเพิ่มเติม รัฐบาลนี้มี 3 สาขา ต่างพื้นที่กันไป
แต่ละสาขา ก็มีหัวหน้ารัฐบาลดูแล ที่เป็นชาวต่างชาติ ก็ชาติเดียวกับท่านผู้นำน่านแหละ
ด้วยความที่คุยกันภาษาเดียวกัน บวกกับความหน้าใหญ่ อวดรู้ แต่ไม่รู้
หัวหน้ารัฐบาลสาขาที่ 2 ได้เอ่ยปากขอยืม ตราประทับดังที่บอก ไปใช้ที่สาขาตัวเอง
ผ่านทางท่านผู้นำ ที่เป็นคนชาติเดียวกัน
ตอนที่มันตกลงกัน มันคุยกันนอกรอบ ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ที่ทำงาน เพราะว่า...
บ่ายๆ วันหนึ่ง ที่ท่านผู้นำไม่อยู่ คนในรัฐบาลของสาขาที่ 2 มาขอรับตราประทับ
ผมจึงได้โทรฯไปสอบถามเรื่องราวได้ความว่า
ท่านผู้นำทั้ง 2 ได้รับปากกันแล้ว ว่าจะให้ยืมไปใช้
ชิ....ก หาย ละซี
กรูเพิ่งสานความสัมพันธ์อันดีกับ กรมวิชาการเกษตร
มันจะมาทำให้ความไว้ใจที่เคยสร้างมา หายไปซะแล้ว
ปัญหาคืออะไร ทำไม จะให้ไม่ได้
หากใครเอาตราประทับ ที่มีหมายเลขของบริษัทผมไปใช้ประทับบนไม้
แล้วส่งออกต่างประเทศ แล้วประเทศปลายทางพบว่า มีแมลง หรือ ศัตรูพืช
อันดับแรก บริษัทที่ได้รับตราประทับนั้น ถูกแขวน คือ ไม่สามารถใช้สิทธิในการผลิตบรรจุภัณฑ์ไม้เพื่อการส่งออกได้ เป็นระยะเวลา 5 ปี รายได้จะหายไปหลายสิบล้าน
อันดับสอง ชื่อเสียงของประเทศ ในฐานะผู้เป็นสมาชิก ISPM15 ย่อมถูกลดความน่าเชื่อถือ
อันดับสาม ผู้ประกอบการรายอื่นๆที่ได้รับตราประทับ เดือดร้อน เพราะกรมวิชาการเกษตร จะต้องเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบการ Fumigated
อันดับสี่ ผมเองในฐานะ ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ จะไปอยู่ตรงไหนได้หว่า.....อยู่ที่ผลเสียที่เกิดขึ้น ว่าร้ายแรงขนาดไหนกับประเทศปลายทาง
สุดท้าย ผมโทรไปคุยกับคนชาติเดียวกัน ที่พอรู้เรื่องระเบียบ ข้อกำหนดของการ Fumigated และบอกผลเสียที่จะเกิดขึ้น
สุดท้ายของสุดท้าย ทางเจ้าหน้าที่ของสาขาที่ 2 นำตราประทับ มาคืน ในวันรุ่งขึ้น
น่าน....มันต้องอย่างนั้น ถ้าจะขัดใจต่างชาติ ต้องขัดใจร่วมกัน
ร่วมกันอธิบายให้พวกท่านผู้นำเข้าใจ ทั้ง 2 รัฐบาล ว่าผลเสียเป็นอย่างไร
แค่รู้ว่า มันขอยืมตราประทับกันเอง แล้วมัน เออออกัน
ผมก็หงอกไปอีก ครึ่งหัวแล้ว .... เฮ๊อ ...
ทำงานกับท่านผู้นำรายนี้ ผมคงหงอกหมดหัวแน่ๆ กว่ามันจะหมดวาระเสวยสุข แล้วกลับประเทศ
แล้วจะไปมีผมดำๆ ไว้ให้ผมหงอกกับท่านผู้นำ ท่านไหนได้อีก