ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พระกฤษณะ : วันประสูติ และการบูชารัก

ในคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ และตำนานเก่าต่างๆ ของอินเดีย รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่นๆ ได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ทั่วไป ในช่วงเหตุการณ์โลกเกิดกลียุคและเกิดความไม่สงบสุขจากเหล่าอสูร จึงทรงอวตารลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพเป็นปางหนึ่งในการอวตาร 10 ปาง ของพระวิษณุเทพนั่นเอง 

ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่าพระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูร ชื่อกังสะ ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้ปลอมตัวมาเป็นกษัตริย์นามว่า อุคราเสน แห่งเมืองมถุรา และได้ใช้อำนาจแย่งชิงมเหสีจากกษัตริย์ (องค์ก่อนหน้า) มาโดยมิชอบ และมเหสีก็ทรงไม่ทราบว่าเป็นอสูรที่แปลงกายมาเป็นสวามีของตน 
อสูรกังสะเมื่อขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ต่อมาเมื่อพระวิษณุเทพทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงทรงอวตารมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้



ลักษณะทางศิลป์ ปัจจุบันรูปปั้นนิยมทำรูปพระกฤษณะยืนไขว้ หรืองอพระบาท มี ๒ กร ยกขลุ่ยระดับพระโอษฐ์กำลังเป่าขลุ่ย บางรูปของพระกฤษณะ มีลักษณะผมมุ่นเสียบดอกไม้ มือซ้ายถือดอกบัว มือขวาวางข้างตัว ส่วนด้านซ้ายของพระองค์มีนางราธิกา หรือ ราธา ทรงผมยาว มือขวาถือดอกไม้ส่วนมือซ้ายวางข้างตัว



พระกฤษณะนั้นเป็นบุตรของ พระวสุเทพ(โอรสท้าวศูรราช)และนางเทวกี (บุตรีท้าวอุคระเสน) ในนครมถุรา ครั้งเมื่อนางเทวกีตั้งครรภ์ มีโหรทำนายว่า ทารกในครรภ์นั้น จะเป็นผู้วิเศษมาเกิด พญากงส์ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางเทวกี (ซึ่งครองอำนาจด้วยการกบฎต่อจากบิดา และเชื่อคำทำนายว่าบุตรนางเทวกี จะเป็นผู้สังหารตน) จึงจับนางเทวกีและพระวสุเทพ รวมทั้งท้าวอุคระเสน ผู้เป็นบิดาขังเอาไว้ 
เมื่อครบกำหนดคลอดก็สั่งให้ฆ่าทารกเสีย ทำเช่นนี้อยู่ 6 ครั้ง คนที่ 7 แท้ง จนถึงครั้งที่ 8 (ที่จะกำเนิดเป็นพระกฤษณะ) พระวิษณุใช้อิทธิฤทธิ์ย้าย ทารกไปไว้ในครรภ์ นางโหริณีมเหสีฝ่ายซ้ายของพระวสุเทพ ทารกนี้มีนามว่า พระ กฤษณะ มีกายสีดำ มีลักษณะของมหาบุรุษเพียบพร้อม 

พระวสุเทพจึงนำกุมารนี้ไปฝากโคบาล (ผู้เลี้ยงวัว ทำปศุสัตว์)ชื่อนันทะ และนางยโศธา แล้วเอาทารกของนาง ยโศธาเปลี่ยนตัวแทนแต่พญากงส์ทราบเข้าจึงสั่งให้ฆ่าทารกเสียทั้งหมดแล้วให้ ราชบุรุษจับตัวพระกฤษณะมาให้ได้ นันทะและนางยโศธา จึงพาพระกฤษณะ ไปอยู่ที่ตำบล พฤนทาพน 




พระกฤษณะจึงเติบโตท่ามกลางหมู่โคบาล และให้ความอนุเคราะห์เหล่าโคบาลนี้ ระหว่างนั้นได้แสดงปาฏิหารย์มากมาย อย่างเช่น ยกภูเขาโควรรธนะ จนสามารถมีชัยเหนือพระอินทร์ จนได้ชื่อว่า อุเปนทร = ดีกว่าพระอินทร์ รวมถึง ปราบพญานาค กาลียะ ฯลฯ 


พญากงส์พยายามที่จะสังหาร พระกฤษณะหลายครั้ง ในที่สุดพญากงส์เชิญให้ไปเล่นสรรพกีฬา ในเมืองมถุรา พญากงส์ได้วางตัวมวยปล้ำที่เก่งที่สุดเอาไว้เพื่อกำจัดพระกฤษณะ โดยเฉพาะ แต่พระกฤษณะสามารถเอาชนะได้และได้ฆ่าพญากงส์ตาย จากนั้นพระเจ้าอุคระเสนจึงขึ้นครองเมือง



กฤษณะจัณมาสตามิ (Krishna Janmashtami) 
หรือ ที่รู้จักกันในหลายชื่อต่อไปนี้ Krishnashtami, Saatam Aatham, Gokulashtami, Ashtami Rohini, Srikrishna Jayanti, Sree Jayanthi หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘Jammashtami’ เป็นเทศกาลของชาวฮินดูเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดพระกฤษณะ (Lord Krishna) ซึ่งเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ เทศกาลนี้มักจะอยู่ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม-กลางเดือนกันยายน (วันแรม 8 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี)

ดังนั้นในตอนเที่ยงคืน รูปบูชาของพระกฤษณะในตอนเด็ก จะถูกนำไปสรงน้ำ ตกแต่งประดาประดาด้วยเสื้อผ้า และเครื่องประดับสวยงาม แล้วนำมาวางในเปล เพื่อทำการสักการะบูชา ในตอนเช้าบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย จะวาดโครงเท้าของลูกที่ด้านนอกบ้านแล้วโรยด้วยผงแป้งที่ทำจากข้าว แล้วให้ลูกเดินเข้ามาในบ้าน เป็นสัญลักษณ์ของการเข้ามาของพระกฤษณะในบ้านอุปถัมภ์ของพวกเขานั่นเอง ในยามค่ำคืนซึ่งก็มีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่


ในอินเดีย เทศกาลนี้รู้จักกันดีในอีกชื่อคือ ดะฮี ฮันดี (Dahi handi) คำว่า ฮันดี (handi) หมายถึง หม้อดินเผาที่บรรจุนมเปรี้ยวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ดะฮี (Dahi) ซึ่งจะถูกแขวนไว้บนที่สูงก่อนจะถึงงานพิธีสำคัญ บุคคลที่สำคัญที่สุดในสังคมจะใช้ไม้ทุบหม้อฮันดีนี้ให้แตก และเมื่อหม้อแตกนมเปรี้ยวนั้นจะหกใส่ทุกคนเบื้องล่าง เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จที่ผ่านความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน




เทศกาลนี้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน ก่อนวันสำคัญนี้ชาวฮินดูจะงดอาหาร หรือถือศีลอดหนึ่งวัน และจะออกจากศีลอดในตอนเที่ยงคืน ซึ่งจะมีการฉลองสำคัญขึ้น 


ในวันนี้หม้อดินเผาจำนวนมากจะถูกนำมาแขวนไว้ในที่ ต่างๆ ทั่วเมือง กลุ่มวัยรุ่นที่เรียกว่า โกวินธา (Govinda) จะขึ้นรถบรรทุกท่องไปทั่วเมืองเพื่อไปต่อตัวกันดึงหม้อที่แขวนไว้บนที่สูงลง มา ภายในหม้อมีนมเปรี้ยวดะฮีบรรจุอยู่ ก็จะหกรดใส่ผู้ที่ต่อตัวกัน แถมในหม้ออาจมีเงินรางวัลให้ด้วย และมีหม้อฮันดีดังกล่าวนี้หลายพันใบแขวนไว้ตามชุมชนต่างๆ ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานทั้งกลุ่มวัยรุ่นและผู้ชมที่ลุ้นอยู่โดยรอบ



ชาวฮินดูทั้งประเทศนอกจากถือศีลอดแล้ว ยังท่องสวดประวัติและคำสอนของพระกฤษณะ ที่เป็นบทโศลกในภควัตคีตา อีกทั้งวัดของพระกฤษณะทุกแห่งจะประดับประดาอย่างสวยงาม และเด็กๆ จะแต่งตัวเป็นพระกฤษณะและนางราธิกา หรือ ราธา  (Radhika , Radha – นางอันเป็นที่รักของพระองค์) ในวัยเด็ก มีการแสดงละครชีวิตของพระกฤษณะโดยเฉพาะในวัยเด็ก พอถึงเที่ยงคืนซึ่งเชื่อว่าเป็นเวลาประสูติของพระองค์ มีพิธีที่เรียกว่า “อารตี (aarti)” จะมีการเตรียมขนมหวานและอาหารจานพิเศษสำหรับผู้ที่ออกจากศีลอดในช่วงเวลานี้ ด้วย  



อีกมุมหนึ่งของพระกฤษณะ : แง่มุมความรัก

ตำนานรักของพระกฤษณะ และ พระนางราธิกา หรือ ราธา ทั้งสององค์สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กๆ เลี้ยงดูแลวัวมาด้วยกัน นั่นทำให้เกิดความรู้สึกรักกันและจะรอกันตลอดไป  
พระลักษมีรวมเอาความรักระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย บิดามารดากับบุตร เพื่อนกับเพื่อน และหนุ่มสาวเข้าด้วยกันไว้ในองค์เดียวกัน หมายความว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในความรัก จะต้องรักผู้อื่นให้ได้อย่างที่บิดามารดาพึงรักบุตร อย่างผู้ใหญ่พึงมอบให้ผู้น้อย อย่างเพื่อนพึงมอบให้เพื่อน และอย่างชายหญิงพึงมอบแก่กันและกัน  
- แม้พระกฤษณะจะมีชายาถึง 16,108 นาง
- แม้นางราธาจะมีสามีอยู่ก่อนแล้ว

- แม้บางท่านจะบอกว่านางราธารักพระกฤษณะแบบเทิดทูนมากกว่าเชิงชู้สาว






แม้พระกฤษณะจะมีเมียมากมายและแต่งงานหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็เล่ากันว่าพระองค์มีพระนางราธาอยู่ในใจเสมอและรักมากที่สุด และพระนางราธาก็รักพระกฤษณะอย่างสุดหัวใจและรอพระกฤษณะเสมอ ทำให้เราเห็นรูปเคารพขององค์พระกฤษณะคู่กับพระนางราธาอยู่บ่อยครั้ง  


พระกฤษณะได้เดินทางไปปราบอสูรหลายครั้ง ในที่สุด พระองค์ก็ได้ออกไปหาทำเลสร้างเมืองใหม่

โดยให้พระวิศวกรรมเนรมิตเมืองให้เสร็จภายในคืนเดียว จากนั้นย้ายตระกูลยาฑพออกไปยังเมืองใหม่ นามว่า "ทวารกา"

เมื่อย้ายมาอยู่เมืองทวารกาแล้ว พระกฤษณะก็ออกเสาะแสวงหาชายาให้กับพระองค์เองและพระพลราม

พระพลรามได้แต่งงานกับ นางเรวาตี (Revati) ส่วนพระกฤษณะเข้าพิธีแต่งงานกับ นางรุกมินี (Rukmini) แต่ก่อนหน้านั้น ก็ต้องต่อสู้กับ "รุกมา"และ "สีสุปาละ" พี่ชายของนางรุกมินี ซึ่งเป็นญาติของพระกฤษณะ และหมายปองนางรุกมินีเช่นกัน
หลังการแต่งงาน พระกฤษณะก็ยังต่อสู้กับอสูรอื่นๆ อีกมากมาย และได้ชายามาอีก 7 องค์ เช่น
นางชามภวาตี (Jambavati) บุตรีของชามภูวาล ผู้เป็นกษัตริย์แห่งหมี 
นางสัตยภามา (Satyabhama) ธิดาของสัตราชิต
นางกัลลินดิ (Kalindi) ธิดาของพระอาทิตย์ 

และชายาอีก 4 องค์จากการปราบปรามอสูรตนอื่นๆ


เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็ถึงกาลที่พระกฤษณะจะกลับไปยังไวกูณฐ์สถานของพระองค์




เหตุการณ์มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง หมู่กษัตริย์ยาฑพเมาสุรา ทะเลาะวิวาทปลงพระชนท์กันเอง พระกฤษณะพยายามห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล พระองค์จึงหลบหนีเข้าไปในป่า บังเอิญขณะนั้น มีพรานป่าออกล่าสัตว์ พรานผู้นั้นสำคัญผิดว่าพระกฤษณะเป็นสัตว์จึงยิงพระองค์ด้วยธนูถูกที่ "ข้อเท้า" อันเป็นจุดชีวิตของพระกฤษณะ จนสิ้นพระชนม์


เมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระกฤษณะล่วงรู้ไปถึงในเมือง พระวสุเทวะ นางเทวากี ตลอดจนนางโรหินีก็สิ้นพระชนม์ตามไปด้วย จากนั้นไม่นานก็เกิดน้ำท่วมใหญ่จนเมืองทวารกา จมหายไปในที่สุด

บ้างเชื่อว่าบูชาพระกฤษณะ เสมือนการบูชาความรัก 


แล้วอะไรคือความรักที่ดีล่ะ? คำตอบที่มีอยู่ในบทสวดบูชาพระลักษมี คือ ความซื่อสัตย์ ความเมตตากรุณา ความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว 

บ้างขอพร หรือบูชา เพื่อขอให้มีความรักที่งดงาม แท้จริง





ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : รวมรวม ปรุงแต่ง จากหลากหลายแหล่งที่มา เอาเป็นว่าขอบคุณทุกๆต้นฉบับ ที่หยิบมาทั้งบางส่วน ทั้งประโยค และทั้งย่อหน้า

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

One Love - Bob Marley สิ่งที่คิดถึงเมืองไทย และ ภาคแปล


One Love - Bob Marley ภาคแปล

เริ่มต้นได้ฟังเพลงนี้มานานมาก ตั้งแต่สมัย ม. ต้น ราวๆ ปี พ.ศ. 2529
สมัยนั้นพอฟังดนตรีแนวนี้แล้ว ทำให้ผมคลั่งไคล้ Bob Marley มากๆๆ

เขาเป็นใคร ยังไง ไม่รู้ รู้แค่เพียง นี่เป็น ดนตรีเรกเก้ และเขาเกิดที่ จาไมก้า



ดนตรีที่โดนใจ ทำให้ไอ้หนุ่มบ้านนอก วัยกระเตาะ อย่างผม หลงไหล
หาซื้อเทป ( ของกอป ม้วนละราวๆ 30 บาท ) ที่มีแต่ปก
ไม่มีเนื้อหา เนื้อเพลง ในปกด้านใน ( แน่ละ ของกอปนี่นา )

---------------------------------------------------------------



พอว่างๆ บังเอิญได้ผ่านฟังแว่วๆ ผ่านหู เลยนึกเพลงขึ้นได้
แล้วก็พาลนึกภาพบรรยากาศ ที่เคยอ่าน เคยรู้ของ Concert : One Love Jamaica
22 April 1978 ใน Concert : One Love นี้เอง ที่ Bob Marley 
Concert นี้ จัดขึ้นเพื่อหยุดการความรุนแรงที่เกิดจากนักการเมือง 2 ขั้ว
Michael Manley ผู้นำฝ่ายรัฐบาล
Edward Seaka ผู้นำพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้าน
โดยที่ Bob Marley เป็นผู้อยู่ตรงกลาง ร่วมจับมือของนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว
ก็ไม่รู้ว่า มุมของนักการเมืองนั้น ทำเพื่อสร้างภาพหรือไม่


แม้ภาพบางภาพจะแสดงให้เห็นว่า นักการเมืองทั้ง 2 ยิ้ม
บางภาพ ก็แสดงสีหน้า ไม่จริงใจ ต่อการจับมือกัน

กลับมาที่ประเทศไทยของเรา
นี่อาจจะเป็นรูปแบบก่อนการกำเนิดของประชาธิปไตยอย่างแม้จริง (มั้ง)
ที่จะต้องมีการเมือง 2 ขั้วที่ชัดเจน แต่ทำไมต้องรุนแรง ใส่ร้ายกัน
แม้ประเทศอื่นๆ จะ 2 ขั้วและ รุนแรง เพราะนั่นไม่มีศูนย์รวมใจของประเทศอย่างพระมหากษัตริย์

เรากำลังเดินไปสู่ประชาธิปไตย แต่จงระลึกเสมอว่า
ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ


ด้านล่างเป็นเพลง One Love และเนื้อหาที่แปลงโดยคุณเบียร์ เจ้าของ Blog : AelitaX Translate ที่แปลไว้ดีเหลือเกิน จนผมไม่ต้องแปลเพลงนี้เองละ
ที่ Link http://www.aelitaxtranslate.com/2013/04/bob-marley-one-love.html

ขอบคุณคุณเบียรอีกครั้งครับ


One Love, One Heart Let's get together and feel all right Hear the children crying (One Love) Hear the children crying (One Heart) Sayin' give thanks and praise to the Lord and I will feel all right Sayin' let's get together and feel all right 
ความรักเพียงหนึ่งเดียว! รวมใจเป็นหนึ่ง!
เรามาอยู่ด้วยกันและสร้างความรู้สึกดีๆกันเถอะ
ฟังเสียงร้องไห้ของเด็กๆ (ความรักเพียงหนึ่งเดียว)
ฟังเสียงร้องไห้ของเด็กๆ (รวมใจเป็นหนึ่ง)
พูดออกไป : ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า และฉันจะรู้สึกดี
พูดออกไป : เรามาอยู่ด้วยกันและสร้างความรู้สึกดีๆกันเถอะ
Let them all pass all their dirty remarks (One Love) There is one question I'd really like to ask (One Heart) Is there a place for the hopeless sinner Who has hurt all mankind just to save his own beliefs ? ให้ทุกๆคนผ่านพ้นทุกๆความเห็นสกปรกๆของพวกเขาไป (ความรักเพียงหนึ่งเดีัยว)มีคำถามหนึ่งที่ฉันอยากจะถามออกไป (รวมใจเป็นหนึ่ง)มีที่สำหรับคนบาปที่ไร้ความหวังหรือเปล่านะคนที่ทำลายมนุษยชาติ เพียงเพื่อปกป้องความเชื่อของตัวเองความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : ผมมองว่า ไม่ได้แปลว่าความเชื่อนะ ผมมองว่าความงมงาย และการรับรู้ หรือ ฟังความข้างเดียว


One Love, "What about the one heart ?"One Heart, "What about ?" Let's get together and feel all right As it was in the beginning (One Love) So shall it be in the end (One Heart)All right! Give thanks and praise to the Lord and I will feel all rightLet's get together and feel all right One more thingความรักเพียงหนึ่ง! แล้วหัวใจล่ะ ? รวมใจเป็นหนึ่ง ?เรามาอยู่ด้วยกันและสร้างความรู้สึกดีๆกันเถอะมันคือจุดเริ่มต้น (ความรักเพียงหนึ่งเดียว)แล้วก็จะเป็นอย่างนั้นไปจนจบ (รวมใจเป็นหนึ่ง)เอาล่ะ !ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า และฉันจะรู้สึกดีเรามาอยู่ด้วยกันและสร้างความรู้สึกดีๆกันเถอะอีกอย่างหนึ่งก็คือ !
Let's get together to fight this Holy Armageddon (One Love) So when the Man comes there will be no no doom (One Song) Have pity on those whose chances grove thinner There ain't no hiding place from the Father of Creation 
เรามารวมตัวกัน เพื่อต้านการทำลายล้างโลกกันเถอะ (ความรักเพียงหนึ่งเดียว)แม้จะมีคนเห็นแก่ตัวมา จะไม่มีการทำลายล้างเกิดขึ้น (รวมใจเป็นหนึ่ง)สงสารคนที่สูยเสียโอกาสไปไม่มีที่ให้หลบซ่อนจากพระบิดาแห่งการรังสรรค์หรอกนะSayin' One Love, "What about the one heart?"One Heart, "What about the-?"  Let's get together and feel all right I'm pleading to mankind (One Love) Oh Lord (One Heart)พูดออกมา : ความรักเพียงหนึ่ง! แล้วหัวใจล่ะ ?
รวมใจเป็นหนึ่ง, แล้วไงล่ะ ?เรามาอยู่ด้วยกันและสร้างความรู้สึกดีๆกันเถอะฉันอ้อนวอนต่อมนุษยชาติ! (ความรักเพียงหนึ่งเดียว)พระผู้เป็นเจ้า! (รวมใจเป็นหนึ่ง)
Give thanks and praise to the Lord and I will feel all right Let's get together and feel all rightGive thanks and praise to the Lord and I will feel all right Let's get together and feel all right   ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า และฉันจะรู้สึกดีเรามาอยู่ด้วยกันและสร้างความรู้สึกดีๆกันเถอะขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า และฉันจะรู้สึกดีเรามาอยู่ด้วยกันและสร้างความรู้สึกดีๆกันเถอะ








ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : ต้นฉบับจากคุณเบียร์ แต่ก็ อดแก้ไข บางคำไม่ได้ มุมของภาษาไทยอาจจะต่างกันเล็กน้อย .... ขอบคุณอีกครั้ง ครับ



วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วาทะขงจื๊อ - เท่าที่พอจะเข้าใจได้




ไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่นที่ไม่เข้าใจเรา 
แต่ต้องเป็นห่วงว่าเรา ไม่เข้าใจคนอื่น
------------------------------------------------------------------------------ 

 
การศึกษาค้นคว้า ถ้าเอนเอียงไปสุดสายไม่ว่าข้างใดข้างหนึ่ง ก็มีแต่ผลเสียเท่านั้น
------------------------------------------------------------------------------
 

การที่ยอมรับว่า "ไม่รู้" นั้น ก็คือความที่ "รู้แล้ว"
ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : นั่นคือ รู้ว่าควรจะต้องขวนขวายหาความรู้ 
------------------------------------------------------------------------------
 

บัณฑิตคิดถึงว่า ทำอย่างไรจะเพิ่มพูนคุณธรรมของตนได้ 
คนพาลคิดถึงว่า ทำอย่างไรจึงจะเห็นความเป็นอยู่ของตนสะดวกสบายขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม
------------------------------------------------------------------------------

อ่อนน้อมแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นเรื่องเหนื่อยเปล่า 

ระมัดระวังแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นความขลาดกลัว 
------------------------------------------------------------------------------




กล้าหาญแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นก่อการร้าย 
ซื่อตรงแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นภัยแก่คนอื่น
------------------------------------------------------------------------------

ยังปรนนิบัติคนที่มีชีวิตไม่เป็น จะปรนนิบัติเซ่นไหว้เทพเจ้ากับผีได้อย่างไรเล่า

ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : คงหมายความเน้นไปที่ปรนนิบัติ พ่อแม่ ผู้มีพระคุณ นั่นแหละ
------------------------------------------------------------------------------

ในระหว่างเป็นเพื่อนกันต้อง ตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน 

ในระหว่างพี่น้องต้องสามัคคีกัน

ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : สิ่งที่เน้นคือ กับเพื่อน ต้องให้กำลังใจ กับพี่น้อง ต้องสามัคคี
------------------------------------------------------------------------------




เมื่อรักเขาจะไม่ให้กำลังใจเขาได้หรือ 
เมื่อซื่อสัตย์ต่อเขาจะไม่ตักเตือนสั่งสอนเขาได้หรือ
------------------------------------------------------------------------------

ตำหนิตนเองให้มาก ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ก็จะไม่มีใครโกรธแค้น

ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : ตำหนิตนเอง ในความหมายนี้ คงเป็นเรื่องของการพิจารณาในทุกขณะ ว่ามีอะไรที่ผิด หรือ คลาดเคลื่อนจากความถูกต้องไปบ้าง
 
------------------------------------------------------------------------------

บัณฑิตขอร้องกับตนเอง ส่วนคนพาลนั้นจะขอร้องกับคนผู้อื่น

------------------------------------------------------------------------------

ทุกคนเกลียดก็ต้องพิจารณา ทุกคนรักก็ต้องพิจารณา

------------------------------------------------------------------------------

นิสัยคนมีความเหมือนกัน แต่การศึกษาทำให้แตกต่างกัน

------------------------------------------------------------------------------

เฉพาะคนที่มีปัญญาสูง กับคนที่โง่มากเท่านั้น ที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเขาได้

------------------------------------------------------------------------------




รักความเมตตา แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ถูกหลอกลวงง่าย 
รักความรู้ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ความรู้นั้นกระจัดกระจายไม่มีฐานที่ตั้ง
รักความซื่อสัตย์ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นภัยแก่ตนโดยง่าย 
รักพูดตรงความจริง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่การพูดจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นได้โดยง่าย
------------------------------------------------------------------------------

รักความกล้าหาญ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ก่อความไม่สงบได้ง่าย
 

รักความเข้มแข็ง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นคนมุทะลุได้ง่าย
------------------------------------------------------------------------------





อ่านหนังสือโดยไม่ค้นคิด การอ่านจะไม่ได้อะไร 
ค้นคิดโดยไม่ได้อ่านหนังสือ การค้นคิดจะเปล่าประโยชน์
ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : เน้นการอ่านโดยที่ไม่อ่าน แล้วปล่อยผ่านไปง่ายๆนั่นเอง
ต้องรู้จักการคิด และค้นหาในสิ่งได้อ่านผ่านไป ไม่เชื่อปักใจง่ายๆ
------------------------------------------------------------------------------

ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักคนด้วยความจริงใจ 
และจึงสามารถเกลียดคนด้วยความจริงใจ
------------------------------------------------------------------------------

ผู้มีปัญญาชื่นชมน้ำ เป็นผู้ขยัน ผู้มีความสุข ผู้มีเมตตา
 

ชื่นชมภูเขา เป็นผู้รักสงบ เป็นผู้มีอายุยืน
ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : ชี้นำให้รัก และรู้จักอยู่กับธรรมชาติ นั่นเอง 
------------------------------------------------------------------------------





เลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้นนะหรือ 
ถ้าเช่นนั้น หมากับม้าก็ได้รับการเลี้ยงดูให้มีชีวิตอยู่เช่นกัน

ความเห็นส่วนตัว [ Natt C. ] : ไม่ใช่แค่ดูแลผู้มีพระคุณเท่านั้น
ต้องทำให้ท่านเหล่านั้น มีความสุขกับชีวิตด้วย